Jolly Phonics คืออะไร?
Jolly Phonics เป็นรูปแบบการสอนการอ่าน-เขียนภาษาอังกฤษ ที่ช่วยให้เด็กอ่านเขียนได้อย่างรวดเร็วและเป็นระบบที่สุด โดยการใช้เทคนิค”การถอดรหัสความสัมพันธ์ของเสียงกับตัวอักษร” ซึ่ง Jolly Phonics นั้นจะมีการจัดกลุ่มเสียงอย่างเป็นระบบ เรียกว่า การสอน Phonics แบบ “การสังเคราะห์การออกเสียง (Synthetic Phonics)” เป็นการเรียนการสอนที่มุ่งเน้น การออกเสียง และ การสะกดคำ อย่างถูกต้อง ซึ่งจะจัดกลุ่มตามระดับความยากง่ายในการออกเสียง ทำให้สามารถฝึกได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยหลักสูตรนี้ได้รับความนิยมและใช้ในการเรียนการสอนกันอย่างแพร่หลายมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก
ทำไม Jolly Phonics ถึงประสบความสำเร็จ
Jolly Phonics เป็นหลักสูตรที่เรียกได้ว่ามีความสมบูรณ์แบบที่สุดเลยก็ว่าได้ มีรูปแบบการเรียนการสอนที่หลากหลาย การใช้พหุสัมผัส การสอนที่มีความสนุก พร้อมทั้งวิธีการสอนการสังเคราะห์การออกเสียงที่สามารถให้เด็กๆอ่านออกเขียนได้และพัฒนาได้รวดเร็ว เป็นวิธีการสอนที่ไม่ใช่แค่เพียงการอ่านพยัญชนะแบบเดิมๆ แต่เป็นการออกเสียงของแต่ละตัวอักษรในภาษาอังกฤษทั้ง 42 เสียงตัวอักษร เด็กๆจะรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเกมตัวต่อที่จะสามารถถอดรหัสภาษาอังกฤษด้วยเทคนิคแบบนี้ได้ ทำให้สามารถจดจำตัวอักษรและผสมกับเสียงแต่ละเสียงได้ง่ายมากขึ้นในการอ่านคำศัพท์ภาษาอังกฤษ และนำสามารถคำศัพท์ที่ได้จากเสียงเหล่านี้มาเขียนเป็นคำได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเราเรียกว่า “การแยกหน่วยเสียงย่อยและการผสมเสียง (Segmenting and Blending)” โดยทั้งสองทักษะนี้ ถือเป็น 2 ใน 5 ทักษะสำคัญที่เด็กๆจำเป็นต้องเรียนเพื่อให้เชี่ยวชาญในการออกเสียง
1. การเรียนรู้เสียงของตัวอักษร (Learning the letter sounds)
เด็กๆจะได้รับการสอนการออกเสียงทั้ง 42 ตัวอังษร ซึ่งเป็นการผสมระหว่าง เสียงตัวอักษร (1 เสียง – 1 ตัวอักษร) , ทวิอักษร[digraphs](1 เสียง – 2 ตัวอักษร) ซึ่งวิธีการสอนแบบพหุมิติสัมผัส แต่ละเสียงจะถูกสอนด้วยกิจกรรมสนุกๆ, มีเรื่องราวและเพลงต่างๆ ซึ่งหลักสูตร Jolly ได้แบ่งกลุ่มเสียงออกเป็น 7 กลุ่ม กลุ่มละ 6 ตัวอักษร โดยที่เราสอน 4-5 เสียง ต่อสัปดาห์ เด็กๆจะสามารถเริ่มอ่านได้ตั้งแต่ได้เรียนเสียงของตัวอักษรในกลุ่มแรกและควรจะได้รับการสอนเสียงของตัวอักษรทั้งหมด 42 เสียง ภายใน 9 สัปดาห์ที่โรงเรียน
2. การเรียนรู้การสร้างและเขียนตัวอักษร (Learning letter formation)
การเรียนรู้การสร้างและเขียนตัวอักษร เด็กๆจะได้เรียนรู้ไปพร้อมกับการเรียนเสียงของตัวอักษรควบคู่ไปด้วย
3. การผสมเสียง (Blending)
หลังจากการเรียนรู้เสียงตัวอักษรแต่ละเสียง ก็จะได้เรียนรู้การผสมเสียงของแต่ละตัวอักษรเข้าด้วยกันเพื่อช่วยให้สามารถอ่านและเขียนคำศัพท์ใหม่ๆได้
4. การแยกหน่วยเสียงย่อย (Segmenting)
เมื่อเด็กๆเริ่มอ่านคำศัพท์ต่างๆ พวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องเริ่มระบุ และแยกเสียงแต่ละเสียงที่เป็นส่วนประกอบให้คำแต่ละคำมีเสียงแตกต่างกันออกไป ด้วยการสอนการผสมและแยกหน่วยเสียงย่อยไปพร้อมๆกัน เด็กๆจะมีความคุ้นเคยกับการรวมและแยกเสียงในแต่ละคำ
5. คำศัพท์ที่อยู่นอกเหนือจากการผสมเสียงทั่วไป (Tricky words)
จะมีคำศัพท์บางประเภทที่ไม่ออกเสียงตามหลักการ Phonics เช่น who และ I การสอน Tricky words เหล่านี้ตั้งแต่เด็กๆจะช่วยให้อ่านภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วมากขึ้น เพราะคำศัพท์เหล่านี้มักจะพบเจอได้บ่อยในประโยคทั่วไป
นอกจากทักษะข้างต้นแล้ว เด็กๆจะได้รับการสอนการออกเสียง ของรูปสะกดทางเลือกของเสียงสระต่างๆ ( alternative spelling of vowels )ด้วย ซึ่งทักษะทั้ง 5 นี้ จะเป็นพื้นฐานที่สำคัญให้กับเด็กๆในการเรียนการสอนไวยากรณ์ (Grammar) ภาษาอังกฤษในอนาคตอีกด้วย
Jolly Phonics แตกต่างกับหลักสูตรทั่วไปอย่างไร?
Jolly Phonics ได้ทำการวิจัยออกมาแล้วว่า การเรียนออกเสียงแบบเดิมจะต้องจำทั้งหมด 26 ตัวอักษรก่อน แล้วจึงค่อยผสมคำ ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้เรียนรู้การผสมคำและคำศัพท์ภาษาอังกฤษใหม่ๆได้ช้า
Jolly Phonics จึงได้แบ่งกลุ่มเสียงออกเป็น 7 กลุ่ม ดังนี้ โดยกลุ่มแรกจะเป็นกลุ่มที่เด็กใช้ออกเสียงได้ง่ายที่สุด สอดคล้องกับพัฒนาการอวัยวะภายในช่องปาก ซึ่งจะใช้เพียงแค่เสียงที่เกิดจากปุ่มเหงือกและริมฝึปากบนล่าง มีตัวอักษรเพียง 6 ตัว แต่สามารถผสมคำได้ถึง 30 คำเลยทีเดียว และกลุ่มถัดๆไปก็จะเพิ่มระดับความยากในการออกเสียงขึ้น เมื่อเรียนครบทั้ง 7 กลุ่มแล้ว เด็กก็จะสามารถผสมคำศัพท์และอ่านออกได้สูงถึง 1,200 คำเลย
Jolly Phonics กับการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ
Jolly Phonics เป็นหลักสูตรที่ถูกวิจัยและพัฒนาขึ้นมา พร้อมทั้งถูกบรรจุให้เป็น เครื่องมือหลักในหลักสูตรแกนกลางแห่งชาติ โดยกระทรวงศึกษาธิการแห่งสหราชอาณาจักร (UK) ซึ่งหลักสูตรนี้ก็ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางที่นำเทคนิคการสอนแบบ Synthetic Phonics ของ Jolly Phonics ไปใช้มากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก เป็นหลักสูตรที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการเรียนอ่านเขียนภาษาอังกฤษ
แต่ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งที่จะทำให้การเรียนการสอนหลักสูตรนี้ประสบผลสำเร็จ คือความสม่ำเสมอในการเรียนรู้และฝึกฝนให้กับเด็กๆอย่างเป็นประจำ เพื่อให้เด็กๆทุกคนได้มีพัฒนาการที่ก้าวหน้าเตรียมพร้อมสู่การเรียนและการใช้ภาษาได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนเจ้าของภาษาได้เลย
บทความล่าสุด
สังคมและประวัติศาสตร์
สรุปพุทธประวัติแบบกระชับ!
สังคมและประวัติศาสตร์
สรุปรวม “ศาสนาสำคัญของโลก” ที่ต้องรู้!
สังคมและประวัติศาสตร์
รากฐานแห่ง“อารยธรรมอินเดีย” อารยธรรมที่ส่งต่อถึงปัจจุบัน