จิ๋นซีฮ่องเต้คือใคร? จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่หรือทรราชผู้โหดเหี้ยม

จิ๋นซีฮ่องเต้คือใคร จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่หรือทรราชผู้โหดเหี้ยม

     สวัสดีทุกคน บทความนี้ พี่ TUTOR VIP จะพาไปศึกษาเรื่องราวของหนึ่งในจักรพรรดิที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ “จิ๋นซีฮ่องเต้” จักรพรรดิผู้รวบรวมแผ่นดินจีนให้เป็นปึกแผ่น อยากรู้หรือยังว่า “จิ๋นซีฮ่องเต้” มีบทบาทสำคัญต่อประวัติศาสตร์จีนอย่างไรบ้าง? ตามไปศึกษาต่อในบทความกันเลย!

จิ๋นซีฮ่องเต้ กำเนิดและชีวิตในวัยเยาว์

กำเนิดและชีวิตในวัยเยาว์

    จิ๋นซีฮ่องเต้ (秦始皇帝 : Qin Shi Huang) หรือพระนามเดิมว่า “อิ๋งเจิ้ง” (嬴政 : Ying Zheng) ประสูติเมื่อ 259 ปีก่อนคริสตกาล ทรงเป็นพระราชโอรสของเจ้าชายอัน (หรือจื่อฉู่) แห่งรัฐฉิน (秦 : Qín)

    ในวัยเยาว์ อิ๋งเจิ้งต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เนื่องจากถูกส่งไปเป็นตัวประกันที่รัฐจ้าว (赵 : Zhào) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่พบได้บ่อยในยุคนั้น เพื่อสร้างความสัมพันธ์และป้องกันการทรยศระหว่างรัฐต่าง ๆ ต่อมา เมื่อพระบิดาสวรรคต อิ๋งเจิ้งจึงเสด็จกลับรัฐฉินและขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งรัฐฉินในปี 246 ก่อนคริสตกาล ขณะมีพระชนมายุเพียง 13 พรรษา

    แม้จะมีพระชนม์มายุยังน้อย แต่อิ๋งเจิ้งทรงแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถในการปกครองและการรวมอำนาจอย่างเด็ดขาด จนในที่สุดสามารถรวบรวมรัฐต่าง ๆ ให้เป็นปึกแผ่นและสถาปนาตนเองเป็น “จิ๋นซีฮ่องเต้” จักรพรรดิองค์แรกของจีนในปี 221 ก่อนคริสตกาล นับเป็นจุดเริ่มต้นของราชวงศ์ฉินและอารยธรรมจีนแบบรวมศูนย์

จิ๋นซีฮ่องเต้ การรวบรวมแผ่นดินจีน

การรวบรวมแผ่นดินจีน

    ในช่วงสมัยจั้นกั๋ว (战国 : Zhànguó) (ประมาณ 475–221 ปีก่อนคริสตกาล) ดินแดนจีนถูกแบ่งออกเป็นเจ็ดรัฐใหญ่ ได้แก่ ฉิน, หาน, จ้าว, เว่ย, ฉู่, เยียน และฉี แต่ละรัฐต่างทำสงครามแย่งชิงอำนาจกันอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์นี้เป็นที่มาของชื่อ “ยุคจั้นกั๋ว” หรือ “ยุคสงครามรณรัฐ” ซึ่งแตกต่างจาก “ยุคสามก๊ก” ที่เกิดขึ้นในภายหลังราวคริสต์ศตวรรษที่ 3 

    อิ๋งเจิ้ง กษัตริย์แห่งรัฐฉิน ทรงเป็นผู้นำที่มีความสามารถโดดเด่น ทั้งด้านการทหารและการทูต พระองค์นำทัพพิชิตรัฐต่าง ๆ ตามลำดับ ดังนี้

  • รัฐหาน (韩 : Hán) ในปี 230 ก่อนคริสตกาล
  • รัฐจ้าว (赵 : Zhào) ในปี 228 ก่อนคริสตกาล
  • รัฐเว่ย (魏 : Wèi) ในปี 225 ก่อนคริสตกาล
  • รัฐฉู่ (楚 : Chǔ) ในปี 223 ก่อนคริสตกาล
  • รัฐเยียน (燕 : Yān) ในปี 222 ก่อนคริสตกาล
  • รัฐฉี (齊 : Qí) ซึ่งเป็นรัฐสุดท้าย ในปี 221 ก่อนคริสตกาล

    เมื่อสามารถรวบรวมรัฐต่าง ๆ ได้สำเร็จ อิ๋งเจิ้งจึงประกาศสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกของจีน พร้อมทรงพระนามว่า “ฉินฉื่อหฺวางตี้” หรือ “จิ๋นซีฮ่องเต้” ซึ่งมีความหมายว่า “จักรพรรดิองค์แรกแห่งราชวงศ์ฉิน” (จิ๋น/ฉิน = ชื่อรัฐ, ฉื่อ = แรก, ฮ่องเต้/หวงตี้ = จักรพรรดิ)

    นอกจากนี้ มีข้อสันนิษฐานว่าคำว่า “China” ในภาษาอังกฤษ อาจมีรากศัพท์มาจากชื่อ “ฉิน” (Qin) ของราชวงศ์นี้ แม้จะยังมีข้อถกเถียงในเชิงภาษาศาสตร์ แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ราชวงศ์ฉินมีอิทธิพลต่อการเรียกชื่อประเทศจีนในหลายภาษา

    การรวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียวโดยจิ๋นซีฮ่องเต้นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์จีน ก่อนหน้านั้น จีนยังไม่เคยมีการรวมศูนย์อำนาจภายใต้จักรพรรดิองค์เดียวมาก่อน พระองค์จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์จีน ในฐานะผู้วางรากฐานของประเทศจีนยุคใหม่

    อย่างไรก็ตาม แม้วิธีการรวมแผ่นดินจะยิ่งใหญ่ แต่การปกครองของจิ๋นซีฮ่องเต้หลังจากนั้นยังมีอีกหลายแง่มุมที่น่าสนใจ ซึ่งจะกล่าวถึงในลำดับถัดไป

จิ๋นซีฮ่องเต้ การปฏิรูปและผลงานสำคัญ

การปฏิรูปและผลงานสำคัญ

  • ปฏิรูปอักษรจีน 

     ก่อนการรวมชาติในสมัยราชวงศ์ฉิน แต่ละแคว้นในจีนมีรูปแบบตัวอักษรและภาษาเขียนที่แตกต่างกัน ส่งผลให้การสื่อสารและการบริหารราชการเป็นไปอย่างยุ่งยาก หลังจากจิ๋นซีฮ่องเต้ทรงสถาปนาความเป็นปึกแผ่น พระองค์จึงมีพระราชโองการให้ปฏิรูปและกำหนดมาตรฐานตัวอักษรทั่วทั้งอาณาจักร โดยประกาศใช้ “อักษรเสี่ยวจ้วน” (小篆, Xiǎozhuàn หรือ Small Seal Script) เป็นรูปแบบตัวอักษรกลางสำหรับราชการและการสื่อสารทางราชการทั่วประเทศ การปฏิรูปนี้ช่วยให้การสื่อสารระหว่างภูมิภาคต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรากฐานสำคัญของวัฒนธรรมจีนจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าภายหลังตัวอักษรจีนจะมีวิวัฒนาการต่อเนื่อง แต่แนวคิดเรื่องมาตรฐานอักษรเดียวกันยังคงสืบทอดต่อมา

  • ปรับปรุงระบบเงินตรา เครื่องชั่งตวงวัด 

     ก่อนยุคราชวงศ์ฉิน แต่ละแคว้นต่างมีระบบเงินตราและมาตรฐานการชั่งตวงวัดเป็นของตนเอง จึงเกิดความยุ่งยากในการค้าขายและการบริหารเศรษฐกิจ จิ๋นซีฮ่องเต้จึงทรงกำหนดให้ใช้เงินตรามาตรฐานเดียวกันทั่วทั้งอาณาจักร คือ “เหรียญกลมรูตรงกลาง” (半兩 : bànliǎng) และกำหนดมาตรฐานเครื่องชั่งตวงวัดเดียวกันทั่วประเทศ การปฏิรูปเหล่านี้ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจและสร้างความเป็นเอกภาพทางการค้าและการบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ

  • สร้างระบบถนนทั่วประเทศ 

     ราชวงศ์ฉินให้ความสำคัญกับการสร้างถนนและโครงข่ายคมนาคมอย่างยิ่ง โดยมีการสร้างถนนสายหลักที่เชื่อมต่อเมืองหลวงกับภูมิภาคต่าง ๆ รวมระยะทางหลายพันกิโลเมตร ถนนสายหลักมีความกว้างมาตรฐานและกำหนดขนาดล้อรถม้าให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง การขนส่งสินค้า และการเคลื่อนย้ายกองทัพในยามสงคราม นับเป็นนวัตกรรมสำคัญที่ส่งเสริมความมั่นคงและการรวมชาติ

  • ปฏิรูประบบราชการ ยกเลิกระบบศักดินา 

     ก่อนการรวมชาติ จีนปกครองด้วยระบบศักดินา ขุนนางแต่ละตระกูลมีอำนาจปกครองดินแดนของตนและสืบทอดอำนาจในตระกูล จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงยกเลิกระบบศักดินานี้ และแทนที่ด้วยระบบราชการแบบรวมศูนย์ โดยแบ่งประเทศออกเป็น 36 มณฑล (หรือเขตปกครอง) แต่ละมณฑลมีข้าหลวงที่จักรพรรดิแต่งตั้งโดยตรงและมีอำนาจเหนือขุนนางท้องถิ่น มาตรการนี้ทำให้อำนาจการปกครองรวมศูนย์อยู่ที่จักรพรรดิ และลดอิทธิพลของขุนนางท้องถิ่นอย่างเด็ดขาด ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครองครั้งใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อระบบราชการจีนในยุคต่อมา

     การปฏิรูปเหล่านี้นับเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้จีนกลายเป็นรัฐรวมศูนย์ และส่งผลต่อโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมจีนในระยะยาว

จิ๋นซีฮ่องเต้ ด้านมืดของการปกครอง

ด้านมืดของการปกครอง

    หลังจากที่ได้ทราบถึงความยิ่งใหญ่และความสำเร็จของจิ๋นซีฮ่องเต้แล้ว ยังมีอีกด้านหนึ่งของพระองค์ คือ ด้านของความโหดร้ายและการใช้อำนาจอย่างเข้มงวดในการปกครอง 

  • การเผาทำลายตำรา และฝังนักปราชญ์ทั้งเป็น 

     ในปี 213 ก่อนคริสตกาล จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการให้เผาทำลายตำราต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกับแนวทางการปกครองของพระองค์ โดยยกเว้นตำราที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ การเกษตร การพยากรณ์ และประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฉิน เหตุการณ์นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อกำจัดแนวคิดและปรัชญาที่ขัดแย้ง โดยเฉพาะจากลัทธิขงจื๊อ ซึ่งนักปราชญ์กลุ่มนี้มักวิพากษ์วิจารณ์การปกครองและยกย่องอดีตมากกว่าปัจจุบัน เมื่อเสียงวิจารณ์ยังไม่สงบในเวลาต่อมา จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการให้จับนักปราชญ์ประมาณ 460 คนที่ต่อต้านและวิพากษ์วิจารณ์พระองค์มาฝังทั้งเป็น  เหตุการณ์นี้ถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์จีนและเป็นตัวอย่างของการปราบปรามปัญญาชนในประวัติศาสตร์โลก

  • ความโหดร้ายต่อผู้คัดค้าน 

     จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงปกครองด้วยความเข้มงวดและหวาดระแวง ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งหรือทำผิดกฎหมายจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง บันทึกประวัติศาสตร์ระบุว่ามีการประหารชีวิตจำนวนมากในสมัยของพระองค์ โทษที่ใช้ได้แก่ 

    • การตัดจมูก ตัดเท้า ตัดหัว
    • เนรเทศเป็นทาสทำงานก่อสร้างกำแพงเมืองจีน 
    • ฝังทั้งเป็น 
    • บังคับให้ทำงานหนักจนเสียชีวิต

     นอกจากนี้ หากทำผิดร้ายแรง โทษอาจขยายไปถึงครอบครัวทั้งสามชั่วอายุคน รวมถึงพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย และลูกหลานด้วย

  • การใช้แรงงานจำนวนมากในการก่อสร้าง 

     โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น กำแพงเมืองจีนและสุสานจักรพรรดิ ใช้แรงงานบังคับจำนวนมหาศาล รวมทั้งนักโทษและทาส มีบันทึกว่ามีผู้เสียชีวิตระหว่างการก่อสร้างนับแสนคน ซึ่งสะท้อนถึงความโหดร้ายและความเสียสละของประชาชนในยุคนั้น

  • การตามหายาอายุวัฒนะ

     ในช่วงปลายรัชสมัย จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงหมกมุ่นกับการแสวงหายาอายุวัฒนะเพื่อให้ทรงมีชีวิตอมตะ พระองค์ทรงส่งหมอและนักเล่นแร่แปรธาตุออกค้นหายาวิเศษตามเกาะต่าง ๆ และยังทรงเสวยยาที่มีส่วนผสมของปรอท ซึ่งกลับส่งผลให้พระองค์ทรงป่วยหนักและสวรรคตในปี 210 ก่อนคริสตกาล



จิ๋นซีฮ่องเต้ การล่มสลายของราชวงศ์ฉิน

การล่มสลายของราชวงศ์ฉิน

  • การสวรรคตของจิ๋นซีฮ่องเต้  

     จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงสวรรคตในปี 210 ก่อนคริสตกาล ขณะเสด็จประพาสตรวจราชการทางภาคตะวันออกของจีน พระชนมายุได้ 49 พรรษา สาเหตุการสิ้นพระชนม์เชื่อว่าสืบเนื่องจากพิษจากการเสวยยาอายุวัฒนะที่มีส่วนผสมของปรอท ซึ่งพระองค์ทรงเชื่อว่าจะช่วยให้มีชีวิตอมตะ แม้ความพยายามในการแสวงหายาวิเศษนี้จะล้มเหลว แต่ก็สะท้อนถึงความหวังและความวิตกกังวลเกี่ยวกับความตายของพระองค์อย่างชัดเจน

  • การกบฏและการล่มสลายของราชวงศ์ฉิน 

      หลังการสิ้นพระชนม์ของจิ๋นซีฮ่องเต้ เกิดความวุ่นวายในราชสำนัก โดยขันทีเจ้าเล่ห์ชื่อเจ้าเกา (趙高 : Zhào Gāo) และสมุหนายกหลี่ซือ (李斯 : lǐ sī) ร่วมกันปลอมแปลงพินัยกรรมของพระองค์ และบีบบังคับให้ฝูซู  (扶苏 : Fúsū) รัชทายาทองค์โตฆ่าตัวตาย จากนั้นแต่งตั้งหูไห่ (胡亥 : Húhài) ลูกชายคนเล็กขึ้นครองราชย์ในฐานะจักรพรรดิองค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์ฉิน หูไห่ทรงเป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอและพึ่งพาขันทีและนายกรัฐมนตรีมากเกินไป ส่งผลให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายและความไม่พอใจของประชาชนเพิ่มขึ้น

ประชาชนที่ทนทุกข์ภายใต้การปกครองที่เข้มงวดของราชวงศ์ฉินจึงลุกฮือก่อกบฏหลายแห่ง โดยมีผู้นำกบฏสำคัญสองคนคือ

    • เฉินเชิ่ง (陈胜 : Chén Shèng) อดีตชาวนาที่ถูกเกณฑ์แรงงานไปสร้างกำแพงเมืองจีน
    • หลิวปัง (刘邦 : Liú Bāng) ชาวบ้านธรรมดาที่ต่อมาได้สถาปนาราชวงศ์ฮั่นขึ้นมาแทนที่ราชวงศ์ฉิน

     ในปี 206 ก่อนคริสตกาล กองทัพกบฏนำโดยหลิวปังสามารถยึดเมืองหลวงได้สำเร็จ และราชวงศ์ฉินจึงล่มสลายลงหลังครองราชย์เพียง 15 ปี นับเป็นราชวงศ์ที่มีอายุสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์จีน

  • การเข้ามาของราชวงศ์ฮั่น 

     หลังจากการต่อสู้ที่ยาวนาน หลิวปังได้รับชัยชนะและสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์นี้ครองอำนาจยาวนานกว่า 400 ปี และถือเป็นยุคทองของจีนโบราณ แม้ว่าหลิวปังจะต่อต้านราชวงศ์ฉิน แต่พระองค์ยังคงรักษาระบบการปกครองแบบรวมศูนย์และระบบราชการที่จิ๋นซีฮ่องเต้วางรากฐานไว้ โดยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความเข้มงวดของกฎหมายลง เพื่อสร้างความมั่นคงและความสงบสุขในแผ่นดิน



จิ๋นซีฮ่องเต้ อิทธิพลต่อจีนในปัจจุบัน

อิทธิพลต่อจีนในปัจจุบัน

จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงเป็นผู้วางรากฐานสำคัญที่ส่งผลต่อจีนในยุคปัจจุบันอย่างลึกซึ้ง ดังนี้

  • แนวคิดการรวมชาติให้เป็นหนึ่งเดียวยังคงเป็นหลักการสำคัญของการเมืองจีนในปัจจุบัน
  • ระบบการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ ซึ่งพระองค์ริเริ่ม ถือเป็นรูปแบบหลักของการบริหารประเทศจีนจนถึงปัจจุบัน
  • ชื่อประเทศ “China” ในภาษาอังกฤษมีรากศัพท์มาจากชื่อ “ฉิน” (Qin) ซึ่งเป็นราชวงศ์ของพระองค์
  • กำแพงเมืองจีน ปัจจุบันได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ที่เมืองซีอาน ซึ่งเต็มไปด้วยกองทัพทหารดินเผาและโบราณวัตถุจำนวนมาก ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางโบราณคดีและมรดกโลกที่สะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมจีน
  • การกำหนดมาตรฐานตัวอักษรจีนให้เป็นแบบเดียวกันทั่วประเทศ เพื่อเสริมสร้างความเป็นเอกภาพและความสะดวก     ในการสื่อสาร รวมถึงการกำหนดมาตรฐานเงินตรา
  • การกำหนดมาตรฐานเงินตรา เครื่องชั่งตวงวัด
  • ระบบถนนที่เชื่อมโยงทั่วประเทศ

    ซึ่งล้วนเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาจีนในยุคต่อมา

    อย่างไรก็ตาม ความยิ่งใหญ่ของจิ๋นซีฮ่องเต้ก็มาพร้อมกับความโหดร้ายและความทุกข์ยากของประชาชน เช่น การเกณฑ์แรงงานจำนวนมาก การเก็บภาษีหนักหน่วง และการปราบปรามผู้ต่อต้าน รวมถึงเหตุการณ์เผาทำลายตำราและการปราบปรามนักปราชญ์ที่แสดงความเห็นต่าง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่สะท้อนทั้งด้านรุ่งโรจน์และด้านมืดของการปกครองของพระองค์

 

    ด้วยเหตุนี้ จิ๋นซีฮ่องเต้จึงได้รับการยกย่องและวิพากษ์วิจารณ์ในเวลาเดียวกัน แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพระองค์เป็นบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการก่อร่างสร้างชาติและวัฒนธรรมจีนที่เรารู้จักในปัจจุบัน

    

     เป็นอย่างไรกันบ้าง? หวังว่าหลังอ่านบทความนี้แล้ว น้อง ๆ จะได้รับรู้เรื่องราวที่น่าสนใจในหลากหลายแง่มุมของ “จิ๋นซีฮ่องเต้” กันมากขึ้นนะ 

    สำหรับใครที่กำลังมองหาที่ติวตัวต่อตัว หรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติมก็มาปรึกษาพี่ TUTOR VIP ได้นะ พี่ ๆ ยินดีให้คำปรึกษาเสมอ


   บทความต่อไป TUTOR VIP จะมาแนะนำอะไรอีกนั้น ฝากติดตามกันด้วยนะ

 

ด้วยความร่วมมือของ TUTOR-VIP X Clearnote Thailand

 

สนใจเรียนพิเศษประวัติศาสตร์ตัวต่อตัว ติดต่อได้ที่👇

Line logo LINE ID: @tutorvip หรือคลิ๊ก https://lin.ee/UQ3gQwP
 
ดูอัตราค่าเรียนพิเศษได้ที่ : https://tutor-vip.com/course/learning-price/
 

บทความล่าสุด

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save