ยุคสามก๊ก: ศึกชิงบัลลังก์ที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์จีน!

ยุคสามก๊ก ศึกชิงบัลลังก์ที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์จีน

     สวัสดีทุกคน บทความนี้ พี่ TUTOR VIP จะพาไปศึกษา “ยุคสามก๊ก” ช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์จีนที่เต็มไปด้วยศึกสงคราม การวางกลยุทธ์ และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบ้านเมือง เรื่องราวในยุคนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้ของทหารหรือขุนศึก แต่ยังเป็นการต่อสู้โดยการใช้สติปัญญาและความกล้าหาญ ซึ่งยังคงส่งผลต่อวัฒนธรรมจนถึงทุกวันนี้อีกด้วย ถ้าพร้อมแล้วตามไปศึกษาพร้อมกันในบทความเลย

ยุคสามก๊ก จุดเริ่มต้นแห่งความวุ่นวาย

จุดเริ่มต้นแห่งความวุ่นวาย

    ช่วงปลายของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (ราวปี ค.ศ. 184) บ้านเมืองจีนเริ่มอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด จักรพรรดิขาดอำนาจในการปกครอง ขุนนางและขันทีบางกลุ่มฉ้อฉลและใช้อำนาจในทางที่ผิด ขุนศึกท้องถิ่นต่างคนต่างตั้งกองกำลังของตนเองเพื่อรักษาผลประโยชน์ ทำให้ประชาชนเดือดร้อนหนักจากการขูดรีดและความไม่สงบ นอกจากนี้ จีนยังเผชิญปัญหาการรุกรานจากชนเผ่าเร่ร่อนทางชายแดนและปัญหาเศรษฐกิจที่ซบเซา ยิ่งทำให้ซ้ำเติมความทุกข์ยากของราษฎร

    ในปี ค.ศ. 184 จึงเกิดการลุกฮือของ “กบฏโพกผ้าเหลือง” (黄巾之乱) ซึ่งเป็นกลุ่มชาวนาที่ได้รับความเดือดร้อนจากการปกครองที่ไม่เป็นธรรม พวกเขารวมตัวกันเพื่อต่อต้านรัฐบาลกลาง โดยมีผู้นำชื่อเตียวก๊ก (张角 : Zhang Jue) ซึ่งได้รับอิทธิพลจากลัทธิเต๋าและสมาคมลับทางศาสนา สมาชิกกลุ่มนี้สวมผ้าโพกหัวสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติ การก่อการของกบฏโพกผ้าเหลืองเริ่มต้นในรัชสมัยพระเจ้าเลนเต้ (汉灵帝 : Han Lingdi) แม้ว่ารัฐบาลจะสามารถปราบปรามกลุ่มกบฏหลักได้ในปีถัดมา แต่กลุ่มกบฏย่อยยังคงต่อต้านและสร้างความวุ่นวายต่อเนื่องไปอีกหลายปี

    การลุกฮือครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์จีน เพราะเป็นเหตุให้รัฐบาลกลางต้องมอบอำนาจทางทหารให้แก่ขุนนางท้องถิ่นและขุนศึกเพื่อปราบกบฏ ส่งผลให้ขุนศึกเหล่านี้มีอำนาจและกองทัพเป็นของตนเอ เมื่อกบฏโพกผ้าเหลืองถูกปราบ ขุนศึกต่าง ๆ ก็เริ่มแย่งชิงอำนาจและแบ่งแยกแผ่นดินออกเป็นส่วน ๆ จนในที่สุดบ้านเมืองเข้าสู่ยุคสงครามกลางเมืองและแตกออกเป็นสามก๊กในเวลาต่อมา

 

การก่อตัวของสามอาณาจักร

    เมื่อราชวงศ์ฮั่นเสื่อมอำนาจลงจากความอ่อนแอของจักรพรรดิและการแย่งชิงอำนาจของขุนนาง ขุนศึกสามกลุ่มใหญ่จึงตั้งอาณาจักรของตนเองขึ้นมาในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 3 และแบ่งแผ่นดินจีนออกเป็นสามส่วนอย่างชัดเจน ดังนี้

ยุคสามก๊ก การก่อตัวของสามอาณาจักร
  • วุยก๊ก (魏)เว่ย์ (สำเนียงจีนกลาง)

    • วุยก๊กเป็นอาณาจักรที่มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาสามก๊ก ครอบครองพื้นที่ทางตอนเหนือของจีน ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 220 โดยโจผี  (曹丕 : Cáo Pi) ซึ่งเป็นบุตรชายของโจโฉ  (曹操 : Cáo Cāo) ขุนศึกผู้ทรงอิทธิพลที่วางรากฐานอำนาจไว้แต่แรก โจผีได้บีบบังคับให้พระเจ้าเหี้ยนเต้  (汉献帝 :  Hàn Xiàn Dì) จักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์ฮั่น สละราชสมบัติ แล้วสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิแห่งวุยก๊ก วุยก๊กมีความแข็งแกร่งทั้งทางทหารและเศรษฐกิจ สามารถรักษาเสถียรภาพในพื้นที่ภาคเหนือได้ยาวนาน 
  • จ๊กก๊ก (蜀)ฉู่ (สำเนียงจีนกลาง)

    • จ๊กก๊กตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนในมณฑลเสฉวน นำโดยเล่าปี่ (刘备 : Liú Bèi) ขุนศึกผู้มีชื่อเสียงในด้านความเมตตาและความชอบธรรม เล่าปี่ได้ขงเบ้ง (จูกัดเหลียง, 诸葛亮 : Zhūgě Liàng) เป็นที่ปรึกษาคนสำคัญ ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในการวางกลยุทธ์และบริหารบ้านเมือง เล่าปี่สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิแห่งจ๊กก๊ก ในปี ค.ศ. 221 เพื่อตอบโต้การตั้งราชวงศ์ของโจผี โดยอ้างสิทธิ์ในสายเลือดราชวงศ์ฮั่นและความชอบธรรมในการฟื้นฟูราชวงศ์
  • ง่อก๊ก (吳) – อู๋ (สำเนียงจีนกลาง)

    • ง่อก๊กตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ริมแม่น้ำแยงซี ปกครองโดยซุนกวน (孙权 : Sūn Quán) ผู้นำที่สามารถรักษาอำนาจของตระกูลซุนไว้ได้อย่างมั่นคง ซุนกวนได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องโดยวุยก๊ก (King of Wei) ในระยะแรก แต่ต่อมาได้ประกาศตนเป็นอิสระและสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิแห่งง่อก๊กในปี ค.ศ. 229 ง่อก๊กมีความโดดเด่นด้านการปกครองและการค้าทางน้ำ



ยุคสามก๊ก การก่อตัวของสามอาณาจักร 2

    ทั้งสามก๊กต่างต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ โดยมีการจับมือเป็นพันธมิตรกันในบางช่วง เช่น การร่วมมือกันระหว่างจ๊กก๊กและง่อก๊กในยุทธการที่ผาแดง (赤壁之战) เพื่อต่อต้านวุยก๊กของโจโฉ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามก๊กเต็มไปด้วยการหักหลังและการเปลี่ยนขั้วอำนาจอยู่เสมอ เช่น หลังจากที่กวนอู แม่ทัพคนสำคัญของจ๊กก๊กถูกซุนกวนสังหาร เล่าปี่จึงยกทัพไปแก้แค้นง่อก๊ก แต่กลับพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในยุทธการที่อิเหลง (夷陵之战) การต่อสู้และการเปลี่ยนพันธมิตรเหล่านี้เป็นจุดเด่นที่ทำให้ยุคสามก๊กเต็มไปด้วยความซับซ้อนทั้งทางการเมืองและการทหาร การแบ่งแผ่นดินออกเป็นสามก๊กนี้ดำรงอยู่นานหลายสิบปี ก่อนที่วุยก๊กจะพิชิตจ๊กก๊กในปี ค.ศ. 263 และในที่สุดราชวงศ์จิ้นตะวันตกก็โค่นล้มวุยก๊กและรวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งในปี ค.ศ. 280

ยุคสามก๊ก ศึกสงครามและกลยุทธ์เด็ด

ศึกสงครามและกลยุทธ์เด็ด

    ยุคสามก๊กเป็นยุคที่ขึ้นชื่อเรื่องการใช้กลยุทธ์และสติปัญญาในการทำสงครามอย่างสูง ตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดคือ “ยุทธการที่ผาแดง” (เซ็กเพ็ก) ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาวปี ค.ศ. 208–209 เป็นยุทธนาวีครั้งใหญ่ในแม่น้ำแยงซี ทัพพันธมิตรของซุนกวนและเล่าปี่สามารถเอาชนะกองทัพของโจโฉที่มีกำลังพลมากกว่าได้อย่างเด็ดขาด ชัยชนะครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้วุยก๊กของโจโฉไม่สามารถรวมแผ่นดินจีนได้ในทันที และเปิดโอกาสให้จ๊กก๊กและง่อก๊กตั้งมั่นในดินแดนทางใต้

  • ยุทธการที่เซ็กเพ็ก หรือ ยุทธการที่ผาแดง (赤壁之战) 

     โจโฉนำทัพใหญ่จากภาคเหนือหมายจะข้ามแม่น้ำแยงซีเพื่อยึดครองดินแดนทางใต้ แต่ต้องเผชิญกับโรคระบาดในกองทัพและสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ฝ่ายพันธมิตรใช้กลยุทธ์โจมตีด้วยไฟ โดยอุยกาย(黄盖 : Huáng Gài) แม่ทัพฝ่ายซุนกวน แสร้งทำเป็นยอมสวามิภักดิ์ต่อโจโฉ แล้วเตรียมเรือไฟบรรทุกฟืน ต้นอ้อแห้ง และน้ำมัน เมื่อถึงเวลาส่งมอบเรือ อุยกายจุดไฟเผาเรือแล้วปล่อยให้ลมตะวันออกเฉียงใต้พัดเรือไฟเข้าใส่กองเรือของโจโฉ ทำให้ทัพเรือโจโฉถูกเผาทำลายย่อยยับ การเปลี่ยนทิศลมในวันสำคัญนี้ ในวรรณกรรมสามก๊กระบุว่าขงเบ้งเป็นผู้ทำพิธี “เรียกลม” ให้พัดเอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายพันธมิตร แม้ในประวัติศาสตร์จริงจะยังเป็นที่ถกเถียงกันว่ามีการใช้เวทมนตร์หรือไม่ แต่เหตุการณ์นี้แสดงถึงการใช้ความรู้ทางภูมิศาสตร์และการคาดการณ์สภาพอากาศอย่างชาญฉลาด 

  • กลยุทธ์ของขงเบ้ง 

     ขงเบ้ง (จูกัดเหลียง) ที่ปรึกษาเอกของจ๊กก๊ก มีชื่อเสียงด้านการวางกลยุทธ์ เช่น การแสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อหลอกศัตรู (เช่น “กลยุทธ์เมืองว่าง : 空城计”) และการตีจุดอ่อนแทนจุดแข็ง กลยุทธ์เหล่านี้สอดคล้องกับแนวคิดในตำรา “สามสิบหกกลยุทธ์: 三十六计” ของจีน เช่น กลยุทธ์ “ตีชิงตามไฟ” (อาศัยจังหวะที่ศัตรูวุ่นวายโจมตีซ้ำ) หรือ “มีในไม่มี” (ทำทีเป็นไร้กำลังเพื่อหลอกให้ศัตรูตายใจ) ขงเบ้งยังเป็นคู่ปรับสำคัญของสุมาอี้ (司马懿 : Sīmǎ Yì) ในการศึกหลายครั้ง และเป็นผู้วางแผนการศึกที่ได้รับการยกย่องในประวัติศาสตร์จีน 

  • จิวยี่ (周瑜 : Zhōu Yú)

     จิวยี่ แม่ทัพใหญ่ของง่อก๊ก เป็นผู้วางแผนหลักในการโจมตีด้วยไฟในยุทธการที่ผาแดง โดยร่วมมือกับขงเบ้งและอุยกาย จนสามารถทำลายกองทัพของโจโฉได้สำเร็จ ความสามารถในการวางแผนและการประสานงานกับฝ่ายพันธมิตรทำให้จิวยี่เป็นหนึ่งในแม่ทัพสำคัญของยุคสามก๊ก 

  • สุมาอี้ (司马懿 : Sīmǎ Yì)

     สุมาอี้ เป็นที่ปรึกษาและนักวางกลยุทธ์ของวุยก๊ก มีชื่อเสียงในด้านความอดทนและความรอบคอบ เขาเป็นคู่ปรับคนสำคัญของขงเบ้ง และในที่สุดสามารถวางรากฐานให้ตระกูลสุมาโค่นล้มราชวงศ์เว่ย์และสถาปนาราชวงศ์จิ้นได้ในรุ่นหลาน สุมาอี้เน้นการวางแผนระยะยาว การอดทนรอจังหวะ และการสร้างความสัมพันธ์กับขุนนางและขุนศึกต่าง ๆ เพื่อสะสมอำนาจ

    สิ่งที่ทำให้ยุคสามก๊กน่าศึกษา ไม่ใช่แค่การรบ แต่คือการใช้ปัญญาและกลยุทธ์อย่างลึกซึ้งในการเอาชนะศัตรู ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน การใช้เล่ห์เหลี่ยม หรือการเข้าใจจิตวิทยาของคู่ต่อสู้ ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของตำราพิชัยสงครามและบทเรียนทางยุทธศาสตร์ที่ยังคงได้รับการศึกษาและนำไปใช้จนถึงปัจจุบัน



 

ยุคสามก๊ก จุดจบของสามก๊ก

จุดจบของสามก๊ก

    หลังจากสงครามและความขัดแย้งทางการเมืองดำเนินต่อเนื่องยาวนาน ยุคสามก๊กก็เข้าสู่บทสรุปสำคัญในช่วงกลางศตวรรษที่ 3 ในปี ค.ศ. 263 วุยก๊กได้ส่งกองทัพใหญ่ไปพิชิตจ๊กก๊กจนสำเร็จ ทำให้จ๊กก๊กพ่ายแพ้และสิ้นสุดอำนาจลงอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 265 สุมาเอี๋ยน (司马炎 : Sīmǎ Yán) บุตรของสุมาเจียว (司马 : Sīmǎ Zhāo) ซึ่งเป็นขุนนางใหญ่และผู้สำเร็จราชการของวุยก๊ก ได้บีบบังคับให้จักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งวุยก๊ก คือ โจฮวน (曹奂 : Cáo Hùan) สละราชสมบัติในปี ค.ศ. 266 และสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์จิ้นตะวันตก ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดของวุยก๊กและยุคสามก๊กอย่างสมบูรณ์

    ในปี ค.ศ. 280 ราชวงศ์จิ้นตะวันตกได้ส่งกองทัพไปพิชิตง่อก๊กสำเร็จ ทำให้จีนกลับมารวมเป็นแผ่นดินเดียวอีกครั้งภายใต้การปกครองของราชวงศ์จิ้นตะวันตก การรวมแผ่นดินนี้สิ้นสุดยุคสามก๊กและเปิดทางสู่ยุคใหม่ของจีนที่มีความสงบสุขในช่วงแรก 

    อย่างไรก็ตาม สงครามที่ยาวนานและความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงสามก๊กส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชากรจีน จากข้อมูลในประวัติศาสตร์ประชากรจีนในช่วงก่อนยุคสามก๊กมีประมาณ 50-60 ล้านคน แต่หลังสงครามและความวุ่นวาย ประชากรลดลงเหลือเพียงราว 16 ล้านคนในช่วงปลายยุคนี้ ซึ่งสะท้อนถึงความเสียหายทั้งจากสงคราม โรคระบาด และความอดอยากที่เกิดขึ้นอย่างหนัก

    ​​นอกจากนี้ การก่อตั้งราชวงศ์จิ้นตะวันตกยังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมครั้งใหญ่ เช่น การตั้งระบบอำนาจให้เจ้าชายและขุนนางมีอำนาจท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งแม้จะช่วยรักษาเสถียรภาพในระยะสั้น แต่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของความขัดแย้งภายในและการล่มสลายของราชวงศ์จิ้นตะวันตกในเวลาต่อมา

    สรุปได้ว่า ยุคสามก๊กเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์จีน แม้จะจบลงด้วยการรวมแผ่นดินโดยราชวงศ์จิ้น แต่ผลกระทบจากสงครามและความวุ่นวายยังคงส่งผลต่อจีนในยุคต่อไปอย่างลึกซึ้ง

 

ยุคสามก๊ก มรดกของยุคสามก๊กในปัจจุบัน

มรดกของยุคสามก๊กในปัจจุบัน

    เรื่องราวยุคสามก๊กกลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กับวรรณกรรมอันยิ่งใหญ่เรื่อง “สามก๊ก” หรือ “三国演义 : Romance of the Three Kingdoms” ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่วรรณกรรมคลาสสิกของจีน (四大名著) ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงในวงวรรณกรรมโลก วรรณกรรมเล่มนี้ประพันธ์โดยล่อกวนตง (罗贯中 : Luó Guànzhōng) ในสมัยราชวงศ์หมิง โดยดัดแปลงจากบันทึกประวัติศาสตร์ “ซานกั๋วจื้อ” (三國志) ของตันซิ่ว (陈寿 : Chén Shòu) แต่สริมเติมแต่งเนื้อหาเพื่อให้เรื่องราวมีความน่าติดตามและแฝงปรัชญาและคติธรรมไว้มากมาย

    ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากวรรณกรรมนี้อย่างมาก โดยเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้แปลและเรียบเรียงเรื่องสามก๊กเป็นภาษาไทยโดยทับศัพท์ชื่อเฉพาะเป็นสำเนียงจีนฮกเกี้ยน ซึ่งเป็นสำเนียงที่ใช้แพร่หลายในหมู่ชาวจีนในไทยในสมัยนั้น และแตกต่างจากสำเนียงจีนกลางในปัจจุบัน ในรูปแบบสมุดไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2345 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในหนังสือต่างประเทศแปลไทยที่เก่าแก่ที่สุดและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน งานแปลนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องเล่าสนุกสนาน แต่ยังสอดแทรกคติธรรม กลยุทธ์ และบทเรียนชีวิตมากมาย เช่น

    • ความภักดีต่อเพื่อน เช่น ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างเล่าปี่ กวนอู และเตียวหุย ที่แสดงถึงความจงรักภักดีและความสามัคคี 
    • การรู้เท่าทันผู้อื่น เช่น ขงเบ้งที่มีปัญญาล้ำเลิศและสามารถอ่านใจศัตรูได้อย่างแม่นยำ
    • ความเด็ดขาดในการตัดสินใจ เช่น โจโฉ แม้จะมีภาพลักษณ์โหดเหี้ยม แต่มีวิสัยทัศน์และความสามารถในการบริหารจัดการอย่างยอดเยี่ยม

    แม้จะผ่านมาหลายร้อยปี แต่เรื่องราวในยุคสามก๊กยังคงมีคุณค่า ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ กลยุทธ์ และการใช้ชีวิต 

    นอกจากนี้ วรรณกรรมสามก๊กยังส่งอิทธิพลต่อวัฒนธรรมประชานิยม (Pop Culture) ในหลายประเทศในเอเชีย เช่น ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ การ์ตูน เกม และการแสดงงิ้วจีน ซึ่งช่วยรักษาและเผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรมนี้ให้คงอยู่ในสังคมสมัยใหม่ 

    สามก๊กจึงไม่ใช่เพียงตำนานหรือเรื่องเล่าในอดีตเท่านั้น แต่ยังเป็นตำราชีวิตที่สอนให้คนรุ่นหลังรู้จักใช้ปัญญาและคุณธรรมในการเผชิญกับความท้าทายในปัจจุบันและอนาคตอย่างยั่งยืน

 

    เป็นอย่างไรกันบ้าง? หวังว่าหลังอ่านบทความนี้แล้ว น้อง ๆ จะได้รับรู้เรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ “ยุคสามก๊ก” กันมากขึ้นนะ 

    สำหรับใครที่กำลังมองหาที่ติวตัวต่อตัว หรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติมก็มาปรึกษาพี่ TUTOR VIP ได้นะ พี่ ๆ ยินดีให้คำปรึกษาเสมอ


   บทความต่อไป TUTOR VIP จะมาแนะนำอะไรอีกนั้น ฝากติดตามกันด้วยนะ

 

ด้วยความร่วมมือของ TUTOR-VIP X Clearnote Thailand

 

สนใจเรียนพิเศษประวัติศาสตร์ตัวต่อตัว ติดต่อได้ที่👇

Line logo LINE ID: @tutorvip หรือคลิ๊ก https://lin.ee/UQ3gQwP
 
ดูอัตราค่าเรียนพิเศษได้ที่ : https://tutor-vip.com/course/learning-price/
 

บทความล่าสุด

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save