สวัสดีน้องๆ ทุกคน บทความนี้ พี่ TUTOR VIP จะมาเปิดประวัติ “สุนทรภู่” หนึ่งในกวีเอกแห่งวงการวรรณคดีไทยที่มีชื่อเสียงและได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง ถ้าพร้อมแล้วตามไปศึกษาประวัติของท่านไปพร้อมกันในบทความเลย!
ประวัติชีวิตของสุนทรภู่
“พระสุนทรโวหาร” มีนามเดิมว่า “ภู่” โดย “สุนทรภู่” เป็นชื่อที่คนทั่วไปเรียกท่าน มีที่มาจากการนำคำว่า “สุนทร” จากบรรดาศักดิ์ “พระสุนทรโวหาร” ที่ท่านได้รับพระราชทาน มารวมกับคำว่า “ภู่” ซึ่งเป็นชื่อเดิม
สุนทรภู่ เกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 ที่บ้านของบิดามารดาริมคลองบางกอกน้อย ธนบุรี ใกล้บริเวณพระราชวังหลัง ซึ่งเป็นพระราชนิเวศน์ของ เจ้าฟ้ากรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข หรือกรมพระราชวังหลังในรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (ปัจจุบันสถานที่บริเวณพระราชวังหลัง คือ บริเวณที่เป็นสถานีรถไฟบางกอกน้อย โรงพยาบาลศิริราช และบริเวณใกล้เคียง)
จุดเริ่มการเป็นกวีในรัชกาลที่ 1
สุนทรภู่ใช้ชีวิตวัยเยาว์อยู่กับมารดาภายใน พระราชวังหลัง ท่านได้รับการศึกษาเล่าเรียนวิชาการและหนังสือไทยในสำนักพระภิกษุอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ณ วัดชีปะขาว (ปัจจุบันคือ วัดศรีสุดาราม) ซึ่งเป็นวัดโบราณริมคลองบางกอกน้อย หลังจากที่ท่านมีวิชาความรู้เป็นอย่างดีแล้ว ในช่วงวัยหนุ่ม ท่านได้ประกอบอาชีพเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่วัดแห่งนี้
ความรักในงานกาพย์กลอนของสุนทรภู่ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มาจากการซึมซับประสบการณ์ตั้งแต่วัยเด็ก เนื่องจากในพระราชวังหลังมีการแสดงและวรรณกรรมต่างๆ เล่นกันอยู่เสมอ เช่น การขับเสภา การเล่นสักวา การละครฟ้อนรำ และการบรรเลงมโหรีปี่พาทย์ นอกจากนี้ เมื่อเติบโตขึ้นท่านยังได้รับการถ่ายทอดวิชาวรรณคดีและการประพันธ์จากพระภิกษุผู้เป็นอาจารย์อีกด้วย
ก้าวแรกสู่การเป็นกวีและการสร้างชื่อเสียง
สุนทรภู่มีความมุ่งมั่นในการศึกษาและเพิ่มพูนประสบการณ์ด้านการประพันธ์อย่างต่อเนื่อง โดยการ รับจ้างแต่งเพลงยาวและบทดอกสร้อยสักวา ด้วยลักษณะกลอนที่มีลีลาเฉพาะตัวและคารมที่คมคาย ทำให้ชื่อเสียงของท่านเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกวีอย่างรวดเร็ว
จุดที่ทำให้ท่านมีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้นคือการแต่งวรรณกรรมเรื่องยาว ได้แก่ นิทานคำกลอนเรื่อง โคบุตร ซึ่งท่านได้ถวายเจ้านายในพระราชวังหลัง ขณะที่ท่านมีอายุได้เพียง 20 ปี เท่านั้น
อุปสรรคทางความรักและผลงานนิราศเรื่องแรก
แม้ด้านการงานจะรุ่งโรจน์ แต่ชีวิตส่วนตัวของสุนทรภู่กลับต้องเผชิญกับอุปสรรคครั้งสำคัญ ท่านไปมีความสัมพันธ์กับนางข้าหลวงในพระราชวังหลัง ชื่อ จัน เมื่อเรื่องนี้ล่วงรู้ไปถึงกรมพระราชวังหลัง ส่งผลให้สุนทรภู่และแม่จันถูกนำตัวไปจองจำ
เมื่อพ้นโทษในปี พ.ศ. 2350 ท่านได้เดินทางไปเยี่ยมบิดาที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง การเดินทางครั้งนี้เป็นที่มาของผลงานนิราศเรื่องแรกของท่าน คือ นิราศเมืองแกลง
หลังจากกลับจากเมืองแกลง สุนทรภู่ได้แม่จันเป็นภรรยา และต่อมาในปีเดียวกันนั้น ท่านได้ตามเสด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฐมวงศ์ ไปนมัสการ พระพุทธบาทสระบุรี ซึ่งกลายเป็นที่มาของการประพันธ์ นิราศพระบาท ในช่วงนี้ท่านยังคงเลี้ยงชีพด้วยการกลับไปบอกบทดอกสร้อยสักวา และเป็นผู้บอกบทละครให้กับคณะละครนอกของนายบุญยัง ซึ่งเป็นคณะละครที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น
การใช้ชีวิตที่เมืองเพชรบุรีและการถ่ายทอดความรู้
ต่อมาในช่วงปลายรัชกาลที่ 1 ถึงต้นรัชกาลที่ 2 สุนทรภู่ต้องจากครอบครัวและไปพำนักอยู่ที่ เมืองเพชรบุรีเป็นเวลาหลายปี ระหว่างที่อยู่ที่นั่นท่านได้รับการช่วยเหลือเกื้อกูลจาก หม่อมบุนนาก ในกรมพระราชวังหลัง ซึ่งได้ย้ายออกมาทำนา
ท่านเลี้ยงชีพด้วยการแต่งกลอนและสอนหนังสือ ชื่อเสียงของท่านยังคงไม่เสื่อมคลาย ทำให้มีผู้คนรู้จักคุ้นเคยและสนิทสนมเป็นจำนวนมาก ท่านมีศิษย์ทั้งชายหญิงมาเรียนเขียนอ่านและฝึกหัดแต่งกลอนกับท่านเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการถ่ายทอดความรู้และความเป็นที่ยอมรับในฐานะครูบาอาจารย์ของท่าน แม้จะยังไม่ได้เข้ารับราชการอย่างเป็นทางการ
ช่วงชีวิตที่รุ่งเรืองในรัชกาลที่ 2
สุนทรภู่เริ่มต้นชีวิตราชการที่รุ่งเรือง เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับราชการในกรมพระอาลักษณ์ เมื่อปี พ.ศ. 2363 เพราะผลงานของท่านได้แพร่หลายไปถึงราชสำนัก เช่น เรื่อง ลักษณวงศ์ ท่านได้แสดงความสามารถในการแต่งกลอนจนเป็นที่พอพระราชหฤทัยหลายครั้ง เช่น การต่อกลอนในบทละครเรื่อง รามเกียรติ์ ตอนศึกสิบขุนสิบรถ
ด้วยความดีความชอบ สุนทรภู่จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ขุนสุนทรโวหาร ทำหน้าที่เป็นกวีที่ทรงปรึกษาในการทรงพระราชนิพนธ์บทกวี และได้รับพระราชทานบ้านหลวงให้อยู่บริเวณท่าช้างวังหลวง ช่วงปลายรัชกาล สุนทรภู่ยังได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ถวายพระอักษรแด่เจ้าฟ้าอาภรณ์ โดยแต่งเรื่อง สวัสดิรักษา ถวาย สันนิษฐานว่าช่วงปลายรัชกาล สุนทรภู่คงได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น หลวงสุนทรโวหาร
ปัญหาชีวิตและผลงานเอก
แม้ชีวิตราชการจะรุ่งเรือง แต่เนื่องจากสุนทรภู่ ชอบดื่มสุราอยู่เป็นนิจ ทำให้ชีวิตบางช่วงตกต่ำ เช่น ถูกนำตัวไปขังคุกจากการเมาสุราและทำร้ายญาติผู้ใหญ่ของภรรยา อย่างไรก็ตาม ท่านสามารถพ้นโทษได้ในเวลาไม่นาน เพราะต่อกลอนพระราชนิพนธ์ได้เป็นที่พอพระราชหฤทัยขณะอยู่ในคุก ประสบการณ์นี้ทำให้ท่านเริ่มแต่งนิทานคำกลอนเรื่องเอกคือ พระอภัยมณี และนำไปเล่าไว้ในบทเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม
จุดสิ้นสุดของยุคทอง
สุนทรภู่มีความจงรักภักดีและรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยอย่างยิ่ง ดังปรากฏในงานนิพนธ์หลายเรื่อง เช่น นิราศภูเขาทอง
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ ชีวิตราชการของสุนทรภู่ก็สิ้นสุดลง ท่านจึงออกจากราชการและออกบวช ด้วยเหตุผลหนึ่งคือ เกรง “ราชภัย” เนื่องจากในอดีต สุนทรภู่เคยท้วงติงและแก้กลอนพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (เมื่อครั้งเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์) ในที่ประชุมกวีราชสำนัก จนทำให้ไม่พอพระราชหฤทัย
ช่วงชีวิตในรัชกาลที่ 3
ในช่วงรัชกาลที่ 3 (พ.ศ. 2367–2394) ถือเป็นยุคที่สุนทรภู่มีการเปลี่ยนสถานะระหว่างการบวช (2 ครั้ง) และการเป็นฆราวาส สุนทรภู่ได้ออกบวชและเดินทางไปยังหัวเมืองต่าง ๆ เป็นเวลา 3 ปี ท่านจำพรรษาที่วัดต่าง ๆ เช่น วัดราชบุรณะ, วัดอรุณราชวราราม, วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, และวัดมหาธาตุ การเดินทางในช่วงนี้ทำให้เกิดงานประพันธ์ประเภทนิราศที่สำคัญ เช่น นิราศภูเขาทอง และ นิราศเมืองเพชร
สุนทรภู่ได้รับการอุปการะจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี โดยเป็นพระอาจารย์ถวายพระอักษรพระราชโอรส 2 พระองค์ในรัชกาลที่ 2 และได้แต่งเพลงยาวถวายโอวาท ต่อมา ท่านได้รับการอุปการะจากพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ (โอรสในรัชกาลที่ 3) ซึ่งโปรดเรื่อง พระอภัยมณี ทำให้สุนทรภู่ได้แต่งเรื่องนี้ต่อไปในช่วงนี้
เมื่อพระองค์เจ้าลักขณานุคุณสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2378 สุนทรภู่ได้ลาสิกขาหลังบวชมา 10 ปี ท่านมีชีวิตที่นับว่าขัดสนต้องอาศัยอยู่ในเรือ และมีรายได้จากการรับจ้างแต่งกลอน หรือจากการที่ผู้คนมาขอคัดลอกนิทานคำกลอน เช่น พระอภัยมณี และ ลักษณวงศ์
สุนทรภู่ใช้ชีวิตฆราวาสอยู่ประมาณ 5 ปี จึงออกบวชอีกครั้งพร้อมกับนายพัด บุตรชาย การบวชครั้งนี้ได้รับการอุปถัมภ์จากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ในช่วงนี้ ท่านได้เดินทางไปสุพรรณบุรีเพื่อแสวงหาแร่ และแต่งโคลงนิราศสุพรรณ ซึ่งมีความยาวถึง 463 บท แต่แต่งเสร็จภายหลังจากไปจำพรรษาที่วัดเทพธิดารามแล้ว คือราว พ.ศ. 2384
ต่อมาท่านได้จำพรรษาที่วัดเทพธิดาราม และได้รับการอุปการะจากกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ (พระราชธิดาในรัชกาลที่ 3) ซึ่งโปรดให้ท่านแต่งเรื่อง พระอภัยมณี ถวายเดือนละ 1 เล่มสมุดไทย ขณะจำพรรษาที่วัดเทพธิดาราม สุนทรภู่ยังได้แต่งหนังสือฝึกอ่านเรื่อง พระไชยสุริยา และก่อนลาสิกขาในปี พ.ศ. 2385 ท่านได้แต่ง รำพันพิลาป ซึ่งเป็นอัตชีวประวัติ
ช่วงปลายรัชกาลที่ 3 หลังจากลาสิกขาในปี พ.ศ. 2385 สุนทรภู่ได้ถวายตัวต่อกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ (พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) และได้แต่ง นิราศพระประธม หลังจากเดินทางไปนมัสการพระปฐมเจดีย์
ช่วงชีวิตในรัชกาลที่ 4
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้โปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชอิสริยยศเทียบเท่าพระองค์ และโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จไปประทับ ที่พระราชวังบวรสถานมงคล หรือวังหน้า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้สุนทรภู่เข้ารับราชการเป็น เจ้ากรมพระอาลักษณ์ ฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคล และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระสุนทรโวหาร ชีวิตของสุนทรภู่จึงรุ่งเรือง และมีความสุขอีกครั้งหนึ่ง เมื่ออายุ 66 ปี
ขณะรับราชการเป็นพระสุนทรโวหารนั้น เป็นช่วงที่สุนทรภู่มีอายุมากแล้ว ไม่ได้เดินทางไปที่ใดอีก ดังนั้น จึงไม่มีผลงานประเภทนิราศ และไม่ได้แต่งนิทานคำกลอนเรื่องยาวอีกเลย งานประพันธ์ทั้งหมดในช่วงเวลานี้ บางเรื่องเป็นงานประพันธ์ที่มีเนื้อหาอยู่แล้ว เช่น เสภาพระราชพงศาวดาร ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สุนทรภู่แต่งถวายเพื่อใช้ขับ ในขณะที่ทรงเครื่องใหญ่ หรือบทเห่กล่อมพระบรรทม สำหรับเห่ถวายพระเจ้าลูกเธอ ในพระราชวังหลวง และนำเรื่องที่เคยแต่งไว้แล้วมาแต่งใหม่ เช่น เห่เรื่องพระอภัยมณี เห่เรื่องโคบุตร และเห่เรื่องอิเหนา ส่วนเรื่องที่จินตนาการขึ้นในช่วงนี้คือ บทละครเรื่องอภัยนุราช ซึ่งแต่งถวายพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดวงประภา พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว สุนทรภู่รับราชการอีกครั้งได้เพียง 4 ปี ก็ถึงแก่กรรมใน พ.ศ. 2398 ขณะมีอายุ 69 ปี
ผลงานสำคัญและบทบาทในวงการวรรณคดีไทย
สุนทรภู่เป็นกวีเอกที่มีผลงานประพันธ์หลากหลายประเภททั้งกลอนนิราศ กลอนนิทาน กลอนเสภา และบทละคร ซึ่งผลงานมีอิทธิพลต่อวงการวรรณคดีไทยอย่างลึกซึ้งและยาวนาน ผลงานที่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ พระอภัยมณี ซึ่งถือเป็นวรรณคดีเรื่องยาวในรูปแบบกลอนนิทานที่เล่าเรื่องราวการผจญภัยของตัวละครเอก ได้แก่ พระอภัยมณี ผ่านโลกแฟนตาซีที่เต็มไปด้วยมิติทางวรรณกรรมและความขัดแย้งหลากหลายด้าน
พระอภัยมณี เริ่มจากเรื่องราวของเจ้าชายองค์นี้ที่ไม่ได้ศึกษาวิชาการรบหรือการปกครอง แต่เลือกเรียนการเป่าปี่ซึ่งทำให้ท่านถูกขับไล่ออกจากบ้าน จากนั้นได้ผจญภัยในสถานที่ต่าง ๆ เช่น การถูกนางผีเสื้อสมุทรจับไป การได้ลูกชายร่วมกับนางเงือก และความขัดแย้งของเมืองต่าง ๆ จนถึงช่วงท้ายที่พระอภัยมณีตกลงปลงใจกับความไม่แน่นอนของชีวิตมนุษย์และตัดสินใจบวช
นอกจากพระอภัยมณี สุนทรภู่ยังมีผลงานสำคัญอื่น ๆ เช่น นิราศภูเขาทอง และ นิราศพระบาท ซึ่งเป็นกลอนนิราศที่สะท้อนความรู้สึกของกวีในช่วงที่เดินทางและมีความผูกพันกับพระมหากษัตริย์ รวมไปถึงเสภาเรื่องสิงหไกรภพ ที่มีความยาวรองลงมาจากพระอภัยมณี เนื้อเรื่องเล่าถึงการผจญภัยของตัวละครในเชิงนิทานคำกลอนที่มีความสนุกสนานและสำนวนโวหารที่จับใจผู้อ่านและผู้ชมทั้งในอดีตและปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้สะท้อนภาพชีวิต วัฒนธรรม และความคิดของคนไทยในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี
ผลงานของสุนทรภู่ยังครอบคลุมถึงนิราศอีก 8 เรื่อง เช่น นิราศเมืองแกลง นิราศสุพรรณ และนิราศอิเหนา รวมทั้งบทละครอย่าง อภัยนุราช และสุภาษิตที่มีเพลงยาวถวายโอวาท ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นมรดกทางวรรณกรรมที่ส่งผ่านและได้รับการสืบสานในวงการศึกษาไทยจนถึงปัจจุบัน
ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงบทบาทของสุนทรภู่ในฐานะกวีที่ไม่เพียงแต่เป็นผู้สร้างสรรค์งานวรรณกรรมคุณภาพสูง แต่ยังเป็นผู้วางรากฐานและส่งเสริมขนบธรรมเนียมการประพันธ์กลอนหลากหลายประเภทในวรรณคดีไทย
สไตล์การเขียนและคุณค่าทางวรรณกรรม
สุนทรภู่เป็นกวีเอกของประเทศไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการใช้ภาษาไทยอย่างปราณีตและงดงาม โดยฝีมือการร้อยกรองของเขาไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งของความคิดและอารมณ์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนความงดงามทางวรรณศิลป์ที่หาใครเทียบได้ยากในยุคเดียวกัน
การใช้ภาษาและโวหาร
สุนทรภู่เชี่ยวชาญในการใช้โวหารที่หลากหลายเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ชัดเจน สมจริง และเปี่ยมด้วยความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นการบรรยายธรรมชาติอย่างละเอียดลออ การถ่ายทอดความรักที่ลึกซึ้ง และการสะท้อนความขัดแย้งในจิตใจของตัวละคร งานของเขาจึงรู้สึกมีชีวิตชีวาและสัมผัสได้ถึงอารมณ์ในทุกบทกลอน
รูปแบบกลอน
ผลงานของสุนทรภู่ส่วนใหญ่ใช้งานกลอนสุภาพและกลอนแปดซึ่งเป็นแบบแผนของวรรณคดีไทยที่เน้นความไพเราะและจังหวะที่เหมาะสม การเลือกใช้กลอนเหล่านี้ช่วยให้บทกลอนมีลักษณะวิจิตรและติดหูผู้อ่าน อีกทั้งยังสะท้อนความสามารถในการบังคับจังหวะและเสียงในงานเขียนอย่างชำนาญ
การผสมผสานเรื่องเล่า
สุนทรภู่มีความสามารถพิเศษในการนำเรื่องเล่าพื้นบ้าน ตำนาน และจินตนาการมารวมกันอย่างลงตัวในผลงานของเขา เรื่องเล่าเหล่านี้ถูกถ่ายทอดผ่านบทกลอนที่งดงาม ทำให้ผลงานของเขามีมิติและความลึกซึ้งทางวรรณกรรม อีกทั้งยังช่วยให้เรื่องราวที่เล่านั้นมีชีวิตชีวาและน่าติดตามมากขึ้น
คุณค่าทางวรรณกรรม
งานเขียนของสุนทรภู่ไม่ใช่เพียงแค่การเล่าเรื่องหรือใช้ภาษาให้สวยงามเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมไทยและจิตวิญญาณของคนไทยในยุคสมัยนั้นอย่างลึกซึ้ง ดังนั้น ผลงานของเขาจึงถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่า เป็นแหล่งศึกษาทางประวัติศาสตร์ วรรณคดี และศิลปะภาษาไทยที่สำคัญยิ่ง
มรดกและการยกย่องในปัจจุบัน
-
บุคคลสำคัญของโลก
ในปี พ.ศ. 2529 ซึ่งเป็นโอกาสครบรอบ 200 ปีวันเกิดของสุนทรภู่ องค์การยูเนสโก ได้ประกาศยกย่องให้ท่านเป็น บุคคลสำคัญของโลกทางด้านวรรณกรรม
สุนทรภู่เป็นชาวไทยคนที่ 5 ที่ได้รับเกียรตินี้ และเป็น สามัญชนชาวไทยคนแรก ที่ได้รับตำแหน่งดังกล่าว
-
วันสุนทรภู่
หลังจากที่ยูเนสโกประกาศยกย่องในปี พ.ศ. 2529 ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 จึงได้มีการจัดตั้งสถาบันสุนทรภู่ขึ้น และกำหนดให้ วันที่ 26 มิถุนายนของทุกปี เป็น วันสุนทรภู่
ในวันสุนทรภู่ จะมีการจัดงานรำลึกถึงท่านตามสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมวรรณกรรม เช่น การประกวดแต่งกลอน ประกวดคำขวัญ และการจัดนิทรรศการในโรงเรียนทั่วประเทศ
เป็นอย่างไรกันบ้าง? หวังว่าหลังอ่านบทความนี้แล้ว น้อง ๆ จะได้รับความรู้เกี่ยวกับ “สุนทรภู่” กวีเอกของไทย กันมากขึ้นนะ
สำหรับใครที่กำลังมองหาที่ติวตัวต่อตัว หรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติมก็มาปรึกษาพี่ TUTOR VIP ได้นะ พี่ ๆ ยินดีให้คำปรึกษาเสมอ
บทความต่อไป TUTOR VIP จะมาแนะนำอะไรอีกนั้น ฝากติดตามกันด้วยนะ
บทความล่าสุด
สังคมและประวัติศาสตร์
เปิดประวัติ “สุนทรภู่” ยอดกวีผู้เขียนวรรรดีไทยอมตะอย่าง “พระอภัยมณี”
สังคมและประวัติศาสตร์
สงครามเย็น : การต่อสู้ทางอุดมการณ์และการสนับสนุนพันธมิตร
สังคมและประวัติศาสตร์
Pearl Harbor ถึง Hiroshima: เหตุการณ์สำคัญในสงครามโลกครั้งที่ 2