สวัสดีทุกคน บทความนี้ พี่ TUTOR VIP จะพาไปศึกษาพระราชประวัติของ “พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” หรือ “รัชกาลที่ 1” ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์และวางรากฐานความมั่นคงของราชอาณาจักรไทยในยุคใหม่ เรื่องราวของพระองค์จะมีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง? ตามไปศึกษาพร้อมกันในบทความเลย
ประวัติส่วนพระองค์
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือ รัชกาลที่ 1 พระนามเดิมของพระองค์คือ “ทองด้วง” หรือ “ด้วง” ประสูติ ณ กรุงศรีอยุธยา ในราวปี พ.ศ. 2279 ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระราชบิดาคือพระอักษรสุนทร (ทองดี) ข้าราชการกรมอาลักษณ์ ส่วนพระราชมารดาคือท่านหยก (ดาวเรือง) ธิดาคนโตของคหบดีชาวจีนฮกเกี้ยน
พระองค์เริ่มรับราชการในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แห่งกรุงธนบุรี ได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชวรินทร์ และได้รับการเลื่อนพระบรมราชอิสริยยศมาเรื่อย ๆ เนื่องจากได้รับความดีความชอบจากบทบาทที่ได้รับ จนมาเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก มีบทบาทสำคัญในการปราบปรามกบฏและศึกสงครามต่าง ๆ
ภายหลังเกิดความวุ่นวายทางการเมืองในกรุงธนบุรีช่วงปลาย พ.ศ. 2324 พระองค์ได้ปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานี และเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
การสถาปนาราชวงศ์จักรี
ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2324 บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะระส่ำระสาย ภายหลังการสิ้นสุดรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช อำนาจรัฐและการปกครองตกอยู่ในสภาพไร้ศูนย์กลาง ขุนนางและแม่ทัพนายกองต่างมีความเห็นร่วมกันว่า จำเป็นต้องมีผู้นำที่มีบุญบารมีและความสามารถในการรวบรวมบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ซึ่งดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่และขุนนางผู้มีอำนาจสูงสุดในสมัยกรุงธนบุรี เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการศึกสงคราม และได้รับความเคารพนับถือจากทั้งกองทัพและขุนนาง ได้รับการอัญเชิญจากเหล่าขุนนางและแม่ทัพให้ขึ้นครองราชสมบัติ
ในวันที่ 6 เมษายน พุทธศักราช 2325 สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์จักรี ทรงพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช”
พระองค์ได้ทรงมีพระราชดำริให้ย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีไปยังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ณ บริเวณเมืองบางกอกเดิม ซึ่งทรงเห็นว่าเหมาะสมในทางยุทธศาสตร์และการปกครอง ต่อมาได้มีการประกอบพระราชพิธีฝังเสาหลักเมืองเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกรุงรัตนโกสินทร์และราชวงศ์จักรีที่สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
การก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์
ภายหลังขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2325 สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกซึ่งเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงพิจารณาเห็นว่า กรุงธนบุรีซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีลักษณะไม่เหมาะสมต่อการป้องกันราชธานี ทั้งในด้านพื้นที่จำกัดและความไม่สมดุลทางยุทธศาสตร์ พระองค์จึงมีพระราชดำริให้ย้ายราชธานีไปยังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของเมืองบางกอกในสมัยอยุธยา
ชัยภูมิฝั่งตะวันออกนั้นมีลักษณะโดดเด่น เพราะมีแม่น้ำเจ้าพระยาล้อมรอบเป็นคูเมืองธรรมชาติ สามารถวางผังเมืองได้เป็นระบบ และมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการขยายพระนครในอนาคต พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้เริ่มก่อสร้างพระราชวังหลวง (พระบรมมหาราชวัง) และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณศูนย์กลางของพระนครใหม่
นอกจากนี้ ยังทรงโปรดให้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ซึ่งเดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดอรุณราชวรารามฝั่งธนบุรี มาประดิษฐาน ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อเป็นสิริมงคลและสัญลักษณ์แห่งราชอำนาจทางพระพุทธศาสนา
เมื่อถึงวันที่ 21 เมษายน พุทธศักราช 2325 ได้มีพระราชพิธีฝังเสาหลักเมือง และประกาศสถาปนาเมืองหลวงใหม่อย่างเป็นทางการในพระนามว่า
“กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลก ภพนพรัตน์ ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศมหาสถาน อมรพิมาน อวตารสถิต สักกะทัตติยะวิษณุกรรมประสิทธิ์”
กรุงรัตนโกสินทร์จึงถือกำเนิดขึ้นในฐานะราชธานีแห่งใหม่ อันเป็นศูนย์กลางของการปกครอง พระศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และอารยธรรมที่รุ่งเรืองเรื่อยมาจนปัจจุบัน
พระราชกรณียกิจสำคัญ
หลังจากขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงมีพระราชกรณียกิจในการฟื้นฟูราชอาณาจักรอย่างรอบด้าน ทั้งด้านการเมือง การปกครอง การศาสนา วัฒนธรรม และความมั่นคงของชาติ ภายใต้สภาพแวดล้อมของประเทศที่เพิ่งผ่านสงครามและความไม่สงบมาเป็นเวลานาน ดังนี้
1. การฟื้นฟูการปกครองและกฎหมาย
- ทรงฟื้นฟูระบบราชการแผ่นดินตามแบบแผนจตุสดมภ์ ได้แก่
เวียง (ฝ่ายความมั่นคง), วัง (ราชสำนัก), คลัง (เศรษฐกิจ/การเงิน) และ นา (การเกษตร)
- จัดระบบการบริหารงานโดยแต่งตั้งขุนนางให้มีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ชัดเจน
- โปรดให้มีการ ชำระกฎหมายเก่าและตรากฎหมายใหม่ เพื่อความเป็นระเบียบแบบแผน ก่อให้เกิด “กฎหมายตราสามดวง” ซึ่งใช้เป็นหลักในการปกครองราชอาณาจักรในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น
2. การทหารและการป้องกันราชอาณาจักร
- ทรงเป็นผู้นำในการป้องกันแผ่นดินจากศัตรู โดยเฉพาะการรุกรานของพม่า
- สงครามสำคัญ เช่น สงครามเก้าทัพ (พ.ศ. 2328) ซึ่งทรงบัญชาการร่วมกับพระอนุชา (เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร – รัชกาลที่ 2 ในภายหลัง)
- ปรับปรุงระบบกองทัพ จัดระเบียบกำลังพลให้เป็นระบบ มีประสิทธิภาพในการรบ
3. การฟื้นฟูพระพุทธศาสนา
- โปรดให้จัดการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้นใหม่ เนื่องจากคัมภีร์บางส่วนได้ถูกทำลายไปจากสงครามตั้งแต่การล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา
- จัดทำ พระไตรปิฎกฉบับหลวง เพื่อใช้เป็นมาตรฐานของพระพุทธศาสนา
- จัดระเบียบคณะสงฆ์ แบ่งนิกาย และควบคุมพระภิกษุให้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย
- ส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรมในวัดหลวง
4. การบูรณะและสร้างวัดวาอาราม
- โปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดสำคัญที่ทรุดโทรมจากสงคราม เช่น วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์, วัดสระเกศ
- ทรงสร้างวัดใหม่ที่สำคัญ ได้แก่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ซึ่งเป็นศูนย์กลางพระราชศรัทธา, วัดสุทัศนเทพวราราม
- อัญเชิญ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) จากกรุงธนบุรีมาประดิษฐาน ณ วัดพระแก้ว เพื่อเป็นสิริมงคลแก่พระนคร
5. การฟื้นฟูวรรณกรรมและศิลปวัฒนธรรม
- โปรดให้ ชุบชีวิตงานวรรณกรรมและนาฏศิลป์ ที่สูญหายหรือเสื่อมโทรม
ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ในการรื้อฟื้นบทละครหลวง เช่น รามเกียรติ์, อิเหนา, ดาหลัง
- ส่งเสริม วรรณคดีแบบร้อยกรองและบทละคร ซึ่งกลายเป็นรากฐานวรรณกรรมไทยสมัยใหม่
- สนับสนุนงานศิลป์ด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และงานสถาปัตยกรรมในพระบรมมหาราชวังและวัดหลวง
มรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเป็นผู้วางรากฐานที่มั่นคงให้แก่ราชอาณาจักรในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งในด้านการเมือง การปกครอง กฎหมาย ศาสนา และวัฒนธรรม ซึ่งกลายเป็นรากฐานของความเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ในเวลาต่อมา พระองค์ทรงสถาปนา “กรุงเทพมหานครฯ” ขึ้นเป็นราชธานีใหม่เมื่อ พ.ศ. 2325 โดยเลือกชัยภูมิทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีความเหมาะสมในด้านการป้องกัน การบริหารราชการ และการขยายพระนครในอนาคต กรุงรัตนโกสินทร์จึงกลายเป็นศูนย์กลางของอำนาจ การค้า ศาสนา และวัฒนธรรมของแผ่นดิน
ด้านกฎหมาย พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการ ชำระและประมวลกฎหมายเก่า ที่กระจัดกระจาย เพื่อจัดระเบียบใหม่ในรูปของ “กฎหมายตราสามดวง” ซึ่งประกอบด้วยหลักกฎหมายจากกรุงศรีอยุธยา และบทบัญญัติที่เพิ่มเติมขึ้นใหม่ให้เหมาะสมกับสภาวะสมัยต้นรัตนโกสินทร์ กฎหมายชุดนี้ได้กลายเป็นพื้นฐานสำคัญของระบบกฎหมายไทยในเวลาต่อมา
มรดกทางวัฒนธรรมของพระองค์ยังปรากฏอย่างเด่นชัดในงานศิลปกรรม สถาปัตยกรรม วรรณกรรม และประเพณีราชสำนัก โดยเฉพาะ การสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม, การฟื้นฟูพระพุทธศาสนา, และ การรื้อฟื้นวรรณกรรมคลาสสิก เช่น รามเกียรติ์ และ อิเหนา ล้วนเป็นแบบแผนที่ถ่ายทอดต่อมายังรัชกาลหลัง ๆ พระราชกรณียกิจของพระองค์จึงไม่เพียงมีผลเฉพาะในยุคของพระองค์เท่านั้น หากแต่ยังส่งอิทธิพลต่อรากฐานของชาติไทยในด้านโครงสร้างรัฐ ศาสนา และวัฒนธรรมมาจนถึงปัจจุบัน
เป็นอย่างไรกันบ้าง? หวังว่าหลังอ่านบทความนี้แล้ว น้อง ๆ จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติและพระปรีชาสามารถของ “รัชกาลที่ 1” กันมากขึ้นนะ
สำหรับใครที่กำลังมองหาที่ติวตัวต่อตัว หรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติมก็มาปรึกษาพี่ TUTOR VIP ได้นะ พี่ ๆ ยินดีให้คำปรึกษาเสมอ
บทความต่อไป TUTOR VIP จะมาแนะนำอะไรอีกนั้น ฝากติดตามกันด้วยนะ
ด้วยความร่วมมือของ TUTOR-VIP X Clearnote Thailand
บทความล่าสุด
สังคมและประวัติศาสตร์
สงครามเย็น : การต่อสู้ทางอุดมการณ์และการสนับสนุนพันธมิตร
สังคมและประวัติศาสตร์
Pearl Harbor ถึง Hiroshima: เหตุการณ์สำคัญในสงครามโลกครั้งที่ 2
สังคมและประวัติศาสตร์
1914-1918: ทำไมสงครามโลกครั้งที่ 1 ถึงเกิดขึ้น และจบลงอย่างไร?