รากฐานแห่ง“อารยธรรมอินเดีย” อารยธรรมที่ส่งต่อถึงปัจจุบัน

รากฐานแห่งอารยธรรมอินเดีย อารยธรรมที่ส่งต่อถึงปัจจุบัน

     จากบทความก่อนหน้าที่ได้พูดถึงอารยธรรมในฝั่งตะวันตกไปแล้ว บทความนี้ พี่ TUTOR VIP จะพามาแนะนำ “อารยธรรมอินเดีย” ซึ่งเป็นหนึ่งในอารยธรรมทางฝั่งตะวันออกที่มีความเก่าแก่และร่วมสมัยกับอารยธรรมอียิปต์และเมโสโปเตเมีย อารยธรรมอินเดียจะมีความน่าสนใจอย่างไร ตามไปดูกันในบทความเลย!

อารยธรรมอินเดีย คืออะไร

อารยธรรมอินเดีย คืออะไร?

    อารยธรรมอินเดีย คือ อารยธรรมที่กำเนิดขึ้นบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียโบราณ ปัจจุบันอยู่ในประเทศปากีสถาน บริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำกว้างใหญ่ที่มีแม่น้ำสินธุและแม่น้ำสาขาเป็นจำนวนมากไหลผ่าน ทำให้ดินแดนนี้มีความอุดมสมบูรณ์ 

    อารยธรรมอินเดียโบราณเริ่มเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่ประมาณ 2,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยเฉพาะในช่วงของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ซึ่งมีการพัฒนาเมืองที่มีระบบการจัดการที่ซับซ้อนคือ “เมืองฮารัปปา” และ “เมืองโมเฮนโจดาโร” จนกระทั่งราว 1,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาวอารยันเริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและสังคมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาในภูมิภาคนี้จนถึงปัจจุบัน

อารยธรรมอินเดีย ในแต่ละยุคสมัย

อารยธรรมอินเดียในแต่ละยุคสมัย

  อารยธรรมอินเดีย หลังยุคอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ สามารถแบ่งเป็นสมัยต่าง ๆ ได้ดังนี้ 

    • 1. สมัยพระเวท (1,500–500 ปีก่อนคริสตกาล) 

    เป็นช่วงเวลาที่สำคัญในประวัติศาสตร์อินเดีย ซึ่งเริ่มประมาณ 1500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในช่วงนี้ ชาวอารยันได้อพยพจากพื้นที่ในเอเชียกลางเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ การเข้ามาของชาวอารยันส่งผลกระทบต่อชาวพื้นเมืองที่อยู่มาก่อน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวดราวิเดียน (Dravidian) โดยมีการกล่าวถึงว่าชาวดราวิเดียนถูกบีบให้อพยพไปยังพื้นที่ทางตอนใต้ของอินเดีย 

    แม้ว่าจะมีความตึงเครียดระหว่างสองกลุ่มนี้ แต่การเข้ามาของชาวอารยันก็ทำให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรม ส่งผลให้เกิดอารยธรรมอินโด-อารยัน (Indo-Aryan Civilization) ที่มีลักษณะเฉพาะตัว โดยมีการสร้างและบันทึกพระเวท (Vedas) ซึ่งเป็นคัมภีร์สำคัญในศาสนาฮินดู และมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมและสังคมในอนุทวีปอินเดียอย่างมาก 

    สมัยพระเวทจึงถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการพัฒนาศาสนา วรรณกรรม และระบบสังคมของชาวอารยัน ซึ่งยังคงมีผลกระทบต่อวัฒนธรรมอินเดียในปัจจุบัน

    • 2. สมัยจักรวรรดิเมารยะ (322–185 ปีก่อนคริสตกาล)

   เป็นราชวงศ์แรกที่รวมแว่นแคว้นในชมพูทวีปให้เป็นปึกแผ่นโดยพระเจ้าจันทรคุปตเมารยะ จักรวรรดิเมารยะมีความรุ่งเรืองสูงสุดในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ได้เผยแพร่พระพุทธศาสนาและสร้างเสาศิลาจารึกที่จารึกหลักธรรมสำคัญ 

    จักรวรรดิเมารยะเริ่มเสื่อมถอยประมาณ 50 ปีหลังจากการสิ้นรัชกาลของพระเจ้าอโศกมหาราช จนกระทั่งล่มสลายในปี 185 ปีก่อนคริสต์ศักราช

    • 3. สมัยจักรวรรดิคุปตะ (ค.ศ.320–550)

    เป็นยุคที่ถือได้ว่าเป็นยุคทองของอินเดีย มีความเจริญรุ่งเรืองในด้านศิลปวัฒนธรรม การเมือง และการค้าขายกับต่างประเทศ พระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 1 ได้รวบรวมอำนาจและตั้งศูนย์กลางการปกครองที่แคว้นมคธ ในสมัยนี้พระพุทธศาสนายังมีความรุ่งเรือง และมีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งเป็นศูนย์กลางการศึกษาที่สำคัญ 

    ในด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มีความก้าวหน้า โดยเริ่มมีการใช้ระบบเลข 0-9 ซึ่งมีผลกระทบต่อการพัฒนาทางคณิตศาสตร์ในอนาคต

    จักรวรรดิคุปตะล่มสลายเนื่องจากการเสื่อมอำนาจภายใน ความขัดแย้งระหว่างผู้สืบทอดราชสมบัติ การรุกรานจากภายนอก รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง ทำให้ไม่สามารถรักษาอำนาจและความมั่นคงได้ หลังการล่มสลาย เมืองเล็ก ๆ และแคว้นต่าง ๆ ได้แตกออกไปปกครองกันเอง ศาสนาฮินดูเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในขณะที่บทบาทของพระพุทธศาสนาเริ่มลดลง 

    • 4. สมัยสุลต่านแห่งเดลี (ค.ศ.1206–1526)

    หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิคุปตะ เมืองเล็ก ๆ และแคว้นต่าง ๆ ในอินเดียได้แตกออกไปปกครองกันเอง ทำให้ไม่มีความเป็นเอกภาพและไม่สามารถรวมกันเป็นปึกแผ่นได้ ส่งผลให้ชาวมุสลิมเติร์กสามารถเข้ามาโจมตีและตั้งรัฐสุลต่านที่เดลีขึ้นปกครองทางตอนเหนือของอินเดียได้สำเร็จ ในสมัยนี้ วัฒนธรรมฮินดูเริ่มผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมอิสลาม ส่งผลให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ซึ่งมีอิทธิพลต่อศิลปะ สถาปัตยกรรม และวิถีชีวิตของผู้คนในภูมิภาคนี้

    • 5. สมัยจักรวรรดิโมกุล (ค.ศ.1526–1858)

    จักรวรรดิโมกุลเข้ามามีอำนาจในอินเดียได้โดยเริ่มจากบาบูร์ที่เอาชนะสุลต่านแห่งเดลีในยุทธการปานิบัต และต่อยอดโดยพระเจ้าอัคบาร์ที่ขยายอาณาเขตและสร้างเสถียรภาพด้วยนโยบายการบริหารที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการผสมผสานวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทำให้จักรวรรดิเติบโตอย่างมั่นคงในช่วงเวลานั้น ต่อมาเริ่มเสื่อมอำนาจและตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี ค.ศ. 1858 หลังจากเหตุการณ์กบฏอินเดียในปี ค.ศ. 1857




 

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับอารยธรรมอินเดีย

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับอารยธรรมอินเดียแบ่งออกเป็นด้านต่าง ๆ ดังนี้

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ อารยธรรมอินเดีย ด้านสังคมและวัฒนธรรม

ด้านสังคมและวัฒนธรรม

ระบบวรรณะ 

    คัมภีรพระเวท ได้แบ่งคนออกเป็น 4 วรรณะ ได้แก่

  1. วรรณะพราหมณ์ คือ ผู้ประกอบพิธีทางศาสนา เชื่อว่ากำเนิดมาจากปากของพระพรหม
  2. วรรณะกษัตริย์ คือ ผู้นำรัฐทำหน้าที่ปกป้องประชาชน  เชื่อว่ากำเนิดมาจากหน้าอกของพระพรหม
  3. วรรณะแพศย์ คือ ผู้ประกอบอาชีพพาณิชยกรรม, เกษตรกรรม ซึ่งเป็นวรรณะส่วนใหญ่ของคนในสังคม เชื่อว่ากำเนิดมาจากมือของพระพรหม
  4. วรรณะศูทร คือ กรรมกร เชื่อว่ากำเนิดมาจากเท้าของพระพรหม

หากมีการแต่งงานข้ามวรรณะ บุตรที่เกิดมาจะกลายเป็น “จัณฑาล” ซึ่งเป็นที่รังเกียจของคนในสังคม

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ อารยธรรมอินเดีย ด้านศาสนา

ด้านศาสนา

    อารยธรรมอินเดียเป็นแหล่งกำเนิดศาสนาสำคัญ ดังนี้

  • ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คือ ศาสนาที่มีการนับถือเทพเจ้าหลายองค์ และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวอินเดีย โดยมีหลักคำสอนเกี่ยวกับกรรมและการเกิดใหม่
  • ศาสนาพุทธ คือ ศาสนาแบบอเทวนิยม มีพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา สอนให้ผู้คนพัฒนาจิตใจเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์
  • ศาสนาเชน คือ ศาสนาแบบอเทวนิยมที่เกิดขึ้นในยุคเดียวกันกับศาสนาพุทธ มีพระมหาวีระเป็นศาสดา โดยเน้นการไม่ทำร้ายสิ่งมีชีวิตและการถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
  • ศาสนาซิกข์ คือ ศาสนาที่เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว (วาหคุรู) มีแนวคิดที่ได้รับอิทธิพลจากทั้งฮินดูและอิสลาม รวมถึงหลักคำสอนที่เน้นความเท่าเทียมและการบริการต่อผู้อื่น



 

ด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรม

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ อารยธรรมอินเดีย ด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรม-1

ซากเมืองฮารัปปาและโมเฮนโจดาโร ในสมัยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ

แสดงถึงการวางผังเมืองอย่างดีรวมไปถึงการวางสาธารณูปโภคเพื่อประโยชน์ใช้สอยสูงสุดมากกว่าความสวยงาม

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ อารยธรรมอินเดีย ด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรม-2

สถูปและเสาหินในสมัยจักรวรรดิเมารยะ

การสร้างสถูปเสาหินในสมัยจักรวรรดิเมารยะ เช่น สถูปสารจี, เสาอโศก แสดงถึงความรุ่งเรืองของพุทธศาสนา

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ อารยธรรมอินเดีย ด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรม-3

สุสานทัชมาฮาล

สถาปัตยกรรมโมกุล สร้างด้วยหินอ่อน ประดับประดาด้วยหินมีค่า สื่อถึงความรักและความงาม และเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ อารยธรรมอินเดีย ด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรม-4

ประติมากรรมพระพุทธรูปแบบคันธาระ, มถุรา, และอมราวดี

  • พระพุทธรูปแบบคันธาระ (Gandhara)

คือ พระพุทธรูปที่มีลักษณะของการผสมผสานศิลปะกรีกและอินเดีย โดยมักมีการแสดงออกทางอารมณ์และรายละเอียดของร่างกายที่มีความสมจริง เช่น การแสดงกล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติ พระพุทธรูปเหล่านี้มักทำจากหินฟิลไลต์หรือหินไมกา และบางครั้งใช้วัสดุอื่น ๆ เช่น สำริด มีการประดับด้วยทองคำหรือวัสดุมีค่าอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น พระพุทธรูปประทับนั่งจากคันธาระที่ค้นพบในจามาลการ์ฮี ประเทศปากีสถาน มีขนาดสูงประมาณ 95 ซม. กว้าง 53 ซม.

  • พระพุทธรูปแบบมถุรา (Mathura)

คือ พระพุทธรูปที่มีพระพักตร์กลมมนและเต็มไปด้วยความสงบ มักใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น รัศมี (ushnisha) และจีวรที่มีริ้วหนา โดยพระพุทธรูปเหล่านี้มักทำจากหินทรายสีแดงหรือดินเหนียว พระพุทธรูปมถุราที่พบในเมืองมถุรา ประเทศอินเดีย เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความงามและความละเอียดในการแกะสลัก

  • พระพุทธรูปแบบอมราวดี (Amravati)

คือ พระพุทธรูปที่มีความโดดเด่นในด้านการใช้ภาพเล่าเรื่อง (narrative relief) ซึ่งแสดงถึงเหตุการณ์ในชีวิตของพระพุทธเจ้า เช่น การตรัสรู้และการแสดงธรรม พระพุทธรูปเหล่านี้มักทำจากหินอ่อนหรือหินทราย และมีการแกะสลักอย่างละเอียดเพื่อสร้างภาพเล่าเรื่อง สถูปอมราวดีเป็นตัวอย่างสำคัญของศิลปะแบบนี้ ที่มีการสร้างภาพแกะสลักที่บอกเล่าเรื่องราวทางพระพุทธศาสนา

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ อารยธรรมอินเดีย ด้านนาฏศิลป์และดนตรี

ด้านนาฏศิลป์และดนตรี

    นาฏศิลป์และดนตรี ถือเป็นศาสตร์ชั้นสูงในวัฒนธรรมอินเดีย และมีการใช้ในพิธีกรรมเพื่อบูชาพระเจ้า ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรม เช่น

  • นาฏศิลป์ที่เกี่ยวข้องกับการฟ้อนรำ มีต้นกำเนิดจากราชสำนัก, ศาสนสถาน และคนในท้องถิ่น เช่น ภารตะนาฏยัมซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบการฟ้อนรำที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดีย
  • ดนตรี จะแบ่งเป็นดนตรีที่ใช้ในพิธีทางศาสนา, ดนตรีในราชสำนัก และดนตรีท้องถิ่น โดยมีเครื่องดนตรีสำคัญ คือ วีณา หรือ พิณเวณุ หรือ ขลุ่ย และกลอง

 

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ อารยธรรมอินเดีย ด้านวรรณกรรม

ด้านวรรณกรรม

    วรรณกรรมในอารยธรรมอินเดียมักมีความเกี่ยวข้องกับศาสนา โดยเริ่มจากบทสวดและการท่องจำสืบต่อกันมาแบบมุขปาฐะ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้

  1. วรรณกรรมภาษาพระเวท ประกอบด้วย ฤคเวท, ยชุรเวท, สามเวท และอถรรพเวท ซึ่งเป็นคัมภีร์สำคัญในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู 
  2. วรรณกรรมตันติสันสกฤต มักเป็นร้อยกรองที่เรียกว่า “โศลก” โดยมีวรรณกรรมเด่น คือ มหาภารตะ, รามายณะ และศกุนตลา
  3. วรรณกรรมสันสกฤตผสม ใช้เขียนหลักธรรมทางพุทธศาสนา เช่น พุทธจริต
  4. วรรณกรรมภาษาอื่น ๆ เช่น ภาษาบาลี ใช้เขียนหลักธรรมทางศาสนาพุทธ นิกายเถรวาท เช่น พระไตรปิฎก

 

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ อารยธรรมอินเดีย ด้านภาษาศาสตร์

ด้านภาษาศาสตร์

    ชาวอินเดียให้ความสำคัญกับการศึกษาภาษาอย่างมาก โดยมีการประพันธ์หนังสือศัพทานุกรม (โกศะ) ขึ้นหลายเล่ม ในสมัยสุลต่านเดลี ชาวมุสลิมได้นำภาษาเปอร์เซีย, อาหรับ, ตุรกี, ฮินดี และสันสกฤตมาผสมกัน ก่อให้เกิดภาษาใหม่คือ “ภาษาอูรดู” ซึ่งเป็นภาษาที่ชาวมุสลิมในอินเดียใช้สื่อสารกันในปัจจุบัน

 

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ อารยธรรมอินเดีย ด้านการแพทย์

ด้านการแพทย์

    จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ สันนิษฐานได้ว่าอารยธรรมอินเดียมีความก้าวหน้าด้านการแพทย์มานานแล้ว และยังมีหนังสือหลายเล่มที่กล่าวถึงวิชาการแพทย์ เช่น “อายุรเวท” ที่เน้นเรื่องการรักษาและการใช้สมุนไพร รวมถึงวิธีการรักษาที่หลากหลาย

 

ด้านดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ และคณิตศาสตร์

    ทั้งสามศาสตร์นี้เรียกรวมกันว่า “ชโยติษ” ซึ่งมีความสำคัญในการดูฤกษ์ยามสำหรับการประกอบพิธีกรรม โดยต้องใช้ศาสตร์นี้ในการคำนวณตำแหน่งของดวงดาวต่าง ๆ นอกจากนี้ ชาวอินเดียยังเป็นผู้คิดค้นเลขศูนย์ ซึ่งนำไปสู่การสร้างระบบตัวเลขที่มีหลักหน่วย สิบ ร้อย และพัน ที่ใช้ในการคำนวณอีกด้วย

 

      เป็นอย่างไรกันบ้าง หวังว่าหลังอ่านบทความนี้แล้ว น้อง ๆ จะได้ความรู้และเข้าใจเรื่อง “อารยธรรมอินเดีย” มากขึ้นนะ

    ส่วนใครที่กำลังมองหาที่ติวตัวต่อตัว หรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติมก็มาปรึกษาพี่ TUTOR VIP ได้นะ พี่ ๆ ยินดีให้คำปรึกษาเสมอ


   บทความต่อไป TUTOR VIP จะมาแนะนำอะไรอีกนั้น ฝากติดตามกันด้วยนะ

 

ด้วยความร่วมมือของ TUTOR-VIP X Clearnote Thailand

 

สนใจเรียนพิเศษประวัติศาสตร์ตัวต่อตัว ติดต่อได้ที่👇

Line logo LINE ID: @tutorvip หรือคลิ๊ก https://lin.ee/UQ3gQwP
 
ดูอัตราค่าเรียนพิเศษได้ที่ : https://tutor-vip.com/course/learning-price/
 

บทความล่าสุด

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save