Pearl Harbor ถึง Hiroshima: เหตุการณ์สำคัญในสงครามโลกครั้งที่ 2

Pearl Harbor ถึง Hiroshima เหตุการณ์สำคัญในสงครามโลกครั้งที่ 2

     สวัสดีน้องๆ ทุกคน บทความนี้ พี่ TUTOR VIP จะมาสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วง “สงครามโลกครั้งที่ 2” นั่นคือ เหตุการณ์การโจมตีที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ ซึ่งเป็นชนวนไปสู่การทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมะและนางาซากิ ถ้าพร้อมแล้วตามไปศึกษาพร้อมกันในบทความเลย!

1.จุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2

จุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2

    สงครามโลกครั้งที่ 2 (1939 – 1945) คือ ความขัดแย้งระดับโลกที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ประเทศส่วนใหญ่ในโลกล้วนเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ โดยกลุ่มประเทศมหาอำนาจต่างๆ ได้แบ่งออกเป็นสองฝ่ายหลัก คือ ฝ่ายสัมพันธมิตร และฝ่ายอักษะ สงครามครั้งนี้ถือเป็นสงครามที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ มีทหารมากกว่า 100 ล้านนายจากกว่า 30 ประเทศเข้าร่วมโดยตรง ลักษณะของสงครามเป็น “สงครามเบ็ดเสร็จ” ที่แต่ละประเทศทุ่มทรัพยากรทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และวิทยาศาสตร์ทั้งหมดเพื่อให้ได้ชัยชนะ โดยมูลค่าของสงครามถูกประเมินว่ามากถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีผู้เสียชีวิตระหว่าง 50 ถึง 85 ล้านคน ด้วยเหตุนี้ สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเป็นสงครามที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ใช้เงินทุนมากที่สุด และมีผู้เสียชีวิตสูงสุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

    ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก สงครามมีความดุเดือดอย่างมาก โดยเหตุการณ์เริ่มต้นจากการที่จักรวรรดิญี่ปุ่นเข้าโจมตีฐานทัพเรือเพิร์ลฮาร์เบอร์ของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 7 ธันวาคม 1941 ซึ่งเป็นการโจมตีแบบกะทันหัน ทำให้สหรัฐอเมริกาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ทันได้เตรียมตัว และนำไปสู่การเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเต็มตัวของสหรัฐอเมริกา ต่อมาสงครามในแปซิฟิกทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเหตุการณ์การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่เมืองฮิโรชิมะ (Hiroshima) ในปี 1945 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เร่งให้สงครามสิ้นสุดลงและเปลี่ยนเส้นทางสงครามในยุคต่อมาโดยสิ้นเชิง

2.Pearl Harbor เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเกมสงคราม

Pearl Harbor: เหตุการณ์โจมตีที่เปลี่ยนเกมสงคราม

    ในช่วงต้นทศวรรษ 1940 ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นเต็มไปด้วยความตึงเครียด ญี่ปุ่นต้องการขยายอาณานิคมในเอเชียเพื่อตอบสนองต่อความต้องการทรัพยากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ญี่ปุ่นบุกจีนตั้งแต่ปี 1937 ซึ่งสหรัฐฯ สนับสนุนจีนอย่างเป็นทางการ สหรัฐฯ ตอบโต้ด้วยมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ เช่น การห้ามส่งน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญไปยังญี่ปุ่นในปี 1941 เพื่อกดดันให้ญี่ปุ่นยุติการขยายอาณาเขต

    ญี่ปุ่นจึงตัดสินใจดำเนินแผนการโจมตีอย่างกะทันหันเพื่อทำลายกำลังเรือรบสหรัฐฯ ที่ฐานทัพเรือเพิร์ลฮาร์เบอร์ในหมู่เกาะฮาวาย เพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพเรือสหรัฐฯ เข้ามาขัดขวางการขยายอาณาเขตของตนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก 

 

เหตุการณ์โจมตีที่เพิร์ลฮาร์เบอร์

   เช้าวันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 เวลา 07:55 น. ตามเวลาท้องถิ่นฮาวาย กองทัพเรือญี่ปุ่นได้เปิดฉากการโจมตีอย่างฉับพลันต่อ ฐานทัพเรือเพิร์ลฮาร์เบอร์ บนเกาะโออาฮู ด้วยกองกำลังทางอากาศจำนวนกว่า 350 เครื่อง ที่ออกจากเรือบรรทุกเครื่องบิน 6 ลำ แบ่งเป็น สองระลอกใหญ่

    ในระลอกแรก เครื่องบินโจมตีประมาณ 183 ลำ มุ่งหมายทำลายกำลังทางอากาศของสหรัฐฯ โดยถล่มสนามบินและเครื่องบินที่จอดเรียงรายบนรันเวย์ เพื่อสกัดมิให้ฝ่ายอเมริกันโต้ตอบทางอากาศได้ จากนั้นจึงทิ้งระเบิดและตอร์ปิโดเข้าใส่เรือรบที่ทอดสมอในอ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์

     ระลอกที่สองซึ่งตามมาในไม่ช้า ประกอบด้วยเครื่องบินกว่า 170 ลำ มุ่งโจมตีเรือรบและสิ่งอำนวยการทางทหารซ้ำอีกระลอก ส่งผลให้เพิร์ลฮาร์เบอร์จมอยู่ในควันไฟและเสียงระเบิดนานกว่าหนึ่งชั่วโมงครึ่ง

 

ความเสียหาย

  • เรือรบ 21 ลำ ถูกจมหรือได้รับความเสียหาย รวมถึง เรือประจัญบาน 8 ลำ ซึ่งในจำนวนนั้น 4 ลำจมลงในท่าเรือ ได้แก่ USS Arizona, USS Oklahoma, USS West Virginia, และ USS California
  • เครื่องบินสหรัฐฯ 188 ลำถูกทำลาย และกว่า 150 ลำได้รับความเสียหาย
  • ผู้เสียชีวิต 2,403 คน (ทั้งทหารและพลเรือน) และมีผู้บาดเจ็บ 1,178 คน

 

    ก่อนการโจมตี เจ้าหน้าที่เรดาร์สหรัฐฯ ที่ฐาน Opana Radar Station ได้ตรวจพบฝูงบินขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามา แต่สัญญาณเตือนนั้นกลับถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิด B-17 ของฝ่ายอเมริกันเอง จึงไม่ได้รับการแจ้งเตือนที่จริงจัง ผลลัพธ์คือกองทัพสหรัฐฯ แทบไม่ทันตั้งรับ และญี่ปุ่นสามารถประสบความสำเร็จในระดับสูงในการจู่โจมครั้งนี้

    การโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้สหรัฐอเมริกาตัดสินใจเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเต็มตัว เนื่องจากวันถัดมาในวันที่ 8 ธันวาคม 1941 ประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ (Franklin Delano Roosevelt) ได้ประกาศสงครามต่อญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ    



3.การต่อสู้หลักในสงครามแปซิฟิก

การต่อสู้หลักในสงครามแปซิฟิก

    หลังเหตุการณ์โจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 จักรวรรดิญี่ปุ่นได้ดำเนินยุทธการ “Southern Operation” เพื่อขยายอำนาจลงสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกใต้ ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ญี่ปุ่นสามารถยึดครองดินแดนสำคัญได้หลายแห่ง ได้แก่ ฟิลิปปินส์ (ยอมจำนนพฤษภาคม 1942), มลายูและสิงคโปร์ (สิงคโปร์ยอมจำนนกุมภาพันธ์ 1942), ดัตช์อีสต์อินดีสหรืออินโดนีเซีย (กุมภาพันธ์–มีนาคม 1942) และพม่า (1942)

    ประเทศไทยแม้ไม่ได้ถูกโจมตีเต็มรูปแบบ แต่ในวันที่ 8 ธันวาคม 1941 กองทัพญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกในหลายจังหวัดภาคใต้ รัฐบาลไทยจึงตัดสินใจยุติการต่อต้านและลงนามข้อตกลงให้อำนวยเส้นทางแก่กองทัพญี่ปุ่นเพื่อเคลื่อนกำลังผ่านไปโจมตีมลายูและพม่า

 

ฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มตอบโต้ในปี 1942 โดยสองสมรภูมิสำคัญคือ

  1. ยุทธนาวีที่มิดเวย์ (4–7 มิถุนายน 1942) : กองทัพเรือสหรัฐฯ สามารถทำลายเรือบรรทุกเครื่องบินญี่ปุ่น 4 ลำ และสูญเสียกำลังพลจำนวนมาก ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ญี่ปุ่นสูญเสียความเป็นฝ่ายรุกทางทะเล และสหรัฐฯ เริ่มได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์
  2. ยุทธการกัวดัลคะแนล (สิงหาคม 1942 – กุมภาพันธ์ 1943) : เป็นการรุกครั้งใหญ่ครั้งแรกของฝ่ายสัมพันธมิตรในแปซิฟิก การรบทั้งบนบก ทะเล และอากาศทำให้ญี่ปุ่นสูญเสียอย่างหนักและถูกบังคับให้ถอนกำลัง การรบครั้งนี้ถือเป็นการพลิกสมดุลในแปซิฟิก ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มยึดเกาะสำคัญ ๆ กลับคืนมาอย่างต่อเนื่อง และรุกเข้าใกล้แผ่นดินใหญ่ญี่ปุ่นมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

    ดังนั้น การโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ไม่เพียงเป็นจุดเริ่มของการเข้าสู่สงครามของสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดการขยายอาณาเขตอย่างกว้างใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งต่อมาได้ถูกหยุดยั้งและถอยร่นหลังความพ่ายแพ้ในมิดเวย์และกัวดัลคะแนล

4.เหตุการณ์สำคัญอื่นๆก่อน Hiroshima

เหตุการณ์สำคัญอื่น ๆ ก่อน Hiroshima

    ในปี ค.ศ. 1945 ฝ่ายสัมพันธมิตรดำเนินยุทธการบุกยึดเกาะสำคัญในแปซิฟิก ได้แก่ ยุทธการอิโวจิมะ (Iwo Jima) และ โอกินาวะ (Okinawa) ซึ่งถือเป็นสมรภูมิที่โหดร้ายและก่อให้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่

  • ยุทธการอิโวจิมะ เริ่มขึ้นเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 1945 โดยกองทัพสหรัฐฯ ยกพลขึ้นบกที่เกาะ Iwo Jima ช่วงแรกคาดว่าสงครามอาจจบได้เร็ว แต่การสู้รบกินเวลา ประมาณ 36 วัน (จนถึง 26 มีนาคม) ระหว่างนั้น สหรัฐฯ ประสบผู้เสียชีวิตประมาณ 6,800 คน และบาดเจ็บหลายหมื่นคน ขณะที่ฝ่ายญี่ปุ่นสูญเสียกำลังพลประมาณ ~ 20,000 คน และมีผู้รอดชีวิต/ถูกจับเป็นเชลยจำนวนน้อยมาก (รวมเชลย ~216 คน) 
  • ยุทธการโอกินาวะเริ่มเมื่อ 1 เมษายน 1945 และสิ้นสุดอย่างเป็นทางการเมื่อ 21 มิถุนายน 1945 (บางแหล่งว่า 22 มิถุนายน) สมรภูมินี้ถือว่าเป็นการรบสะเทินน้ำสะเทินบกที่ใหญ่ที่สุดในแปซิฟิกช่วงปลายสงคราม มีการรบทั้งบนบก ทะเล และอากาศ — ญี่ปุ่นใช้ยุทธวิธีป้องกันแนวลึก, ระบบป้อมคอนกรีต, อุโมงค์, และปฏิบัติการคามิกาเซะโจมตีเรือของฝ่ายสัมพันธมิตรในสมรภูมิน้ำรอบเกาะ 

 

    การสูญเสียในโอกินาวะมีจำนวนมหาศาล — ฝ่ายสหรัฐฯ ประสบกับ ผู้สูญเสียรวมประมาณ 49,151 ราย (ในจำนวนนี้ ~ 12,520 คนเป็นผู้เสียชีวิตหรือหายสาบสูญ) ฝ่ายญี่ปุ่น (รวมทหารญี่ปุ่นและผู้ช่วยรบ) สูญเสียมากกว่า 100,000 คน นอกจากนั้น พลเรือนโอกินาวะได้รับผลกระทบร้ายแรง — บางแหล่งระบุว่ามีผู้เสียชีวิตในระดับ 100,000 คนขึ้นไป 

    ความสูญเสียอย่างหนักในการรบที่อิโวจิมะและโอกินาวะ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันให้ฝ่ายสหรัฐฯ พิจารณาวิธีการที่จะบีบให้ญี่ปุ่นยอมจำนนโดยเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงการตัดสินใจใช้ ระเบิดปรมาณู ที่ฮิโรชิมะและนางาซากิ เพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่ 2

5.จุดจบของสงครามโลกครั้งที่ 2

จุดจบของสงครามโลกครั้งที่ 2

    วันที่ 6 สิงหาคม 1945 สหรัฐอเมริกาได้ทำลายประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกในประวัติศาสตร์ บนเมืองฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ระเบิดนี้มีชื่อเรียกในโค้ดเนมว่า “Little Boy” ทำจากยูเรเนียม-235 ถูกปล่อยจากเครื่องบิน B-29 Enola Gay ในเวลาประมาณ 08:15 น. ตามเวลาท้องถิ่น จุดชนวนระเบิดอยู่ที่ระดับความสูงราว 580 เมตรเหนือเมือง ส่งผลให้เกิดแรงระเบิดเทียบเท่าระเบิด TNT ขนาด 15 กิโลตัน

    การระเบิดทำลายเมืองฮิโรชิมะจนกลายเป็นซากปรักหักพังทันที ผู้คนเสียชีวิตทันทีประมาณ 70,000–80,000 คน และผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากรังสีตามมาอีกหลายหมื่นคน ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตรวมสูงถึงประมาณ 140,000 คนภายในปลายปี 1945 ผลกระทบนี้สร้างความเสียหายทั้งทางร่างกายและจิตใจต่อผู้รอดชีวิต และก่อให้เกิดความหวาดกลัวต่ออาวุธนิวเคลียร์ซึ่งเทคโนโลยียังไม่เคยเกิดมาก่อน

    เพียงสามวันต่อมา 9 สิงหาคม 1945 สหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลูกที่สองชื่อ “Fat Man” บนเมืองนางาซากิ การโจมตีครั้งนี้ทำให้ผู้คนเสียชีวิตทันทีหลายหมื่นคน และรวมผู้เสียชีวิตทั้งสิ้นประมาณ 70,000 คนภายในสิ้นปี 1945

    ความสูญเสียอันมหาศาลและแรงกดดันทางการทหาร ทำให้ จักรพรรดิฮิโรฮิโตะประกาศยอมแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ในวันที่ 15 สิงหาคม 1945 และลงนามอย่างเป็นทางการในการยอมแพ้ที่ เรือ USS Missouri ในวันที่ 2 กันยายน 1945 ส่งผลให้สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงอย่างเป็นทางการ

    การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ทั้งสองครั้งไม่เพียงจบสงครามในเอเชีย แต่ยังสร้างบทเรียนล้ำค่าเกี่ยวกับ อานุภาพของอาวุธนิวเคลียร์ และผลกระทบต่อมนุษยชาติ ทั้งด้านการเมือง สังคม และเทคโนโลยี ซึ่งยังคงสะท้อนถึงความน่าสะพรึงกลัวและความรับผิดชอบต่ออาวุธร้ายแรงจนถึงปัจจุบัน

6.บทบาทของประเทศไทยในสงครามโลกครั้งที่ 2

บทบาทของประเทศไทยในสงครามโลกครั้งที่ 2

    ก่อนวันที่ 8 ธันวาคม 1941 ประเทศไทยยังคงรักษานโยบายเป็นกลางในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่สถานการณ์พลิกผันเมื่อกองทัพญี่ปุ่นบุกเข้าประเทศไทย เพื่อใช้เป็นทางผ่านไปยังมาเลเซียและพม่า รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ตัดสินใจให้ความร่วมมืออย่างเปิดเผย อนุญาตให้กองทัพญี่ปุ่นใช้ไทยเป็นฐานทัพ และหลังจากนั้นในวันที่ 25 มกราคม 1942 ไทยประกาศสงครามกับ สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร

    แม้รัฐบาลไทยจะให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่น แต่ภายในประเทศกลับเกิดการต่อต้านขึ้นอย่างลับ ๆ ผ่าน ขบวนการเสรีไทย (Free Thai Movement) ซึ่งประกอบด้วยนักศึกษา ข้าราชการ และพลเรือน ขบวนการนี้ร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทั้งจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ เพื่อขัดขวางการสนับสนุนทางทหารแก่ญี่ปุ่น และช่วยเหลือฝ่ายสัมพันธมิตรในด้านข่าวกรองและปฏิบัติการลับ ขบวนการเสรีไทยมีบทบาทสำคัญในการรักษาภาพลักษณ์ของไทยต่อเวทีโลก และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยสามารถเลี่ยงการถูกจัดเป็นประเทศแพ้สงคราม

    หลังสิ้นสุดสงครามในปี 1945 ไทยได้เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูประเทศ และในปี 1946 ประเทศไทยกลายเป็นสมาชิกของ องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้รับการยอมรับในฐานะประเทศที่ไม่ได้แพ้สงคราม การตัดสินใจของรัฐบาลและบทบาทของขบวนการเสรีไทยยังคงเป็นเรื่องถกเถียงทางประวัติศาสตร์ แต่ถือเป็นช่วงเวลาที่สะท้อนทั้งความซับซ้อนทางการเมืองและภูมิยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในบริบทเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    บทบาทของไทยในสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงไม่อาจมองเพียงว่าเป็นฝ่าย “ผู้ร่วมรบ” หรือ “ประเทศกลาง” แต่เป็นภาพสะท้อนของการปรับตัวทางการทูต การต่อต้านภายใน และความพยายามรักษาเอกราชและศักดิ์ศรีของชาติท่ามกลางวิกฤติสงครามโลก

 

    เป็นอย่างไรกันบ้าง? หวังว่าหลังอ่านบทความนี้แล้ว น้อง ๆ จะเข้าใจเหตุการณ์ “สงครามโลกครั้งที่ 2” กันมากขึ้นนะ 

    สำหรับใครที่กำลังมองหาที่ติวตัวต่อตัว หรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติมก็มาปรึกษาพี่ TUTOR VIP ได้นะ พี่ ๆ ยินดีให้คำปรึกษาเสมอ


   บทความต่อไป TUTOR VIP จะมาแนะนำอะไรอีกนั้น ฝากติดตามกันด้วยนะ

 

ด้วยความร่วมมือของ TUTOR-VIP X Clearnote Thailand

 

สนใจเรียนพิเศษประวัติศาสตร์ตัวต่อตัว ติดต่อได้ที่👇

Line logo LINE ID: @tutorvip หรือคลิ๊ก https://lin.ee/UQ3gQwP
 
ดูอัตราค่าเรียนพิเศษได้ที่ : https://tutor-vip.com/course/learning-price/
 

บทความล่าสุด

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save