สวัสดีน้อง ๆ ทุกคน บทความนี้ พี่ TUTOR VIP จะมาสรุปเกี่ยวกับ “สงครามโลกครั้งที่ 1” ซึ่งเป็นสงครามครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยของเราด้วย ถ้าพร้อมแล้วตามไปศึกษาพร้อมกันเลย!
สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1
สงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) เป็นสงครามที่มีขอบเขตกว้างขวางที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคก่อน และส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการเมือง สังคม และเศรษฐกิจของโลก สงครามครั้งนี้เริ่มขึ้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 1914 โดยจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีประกาศสงครามกับราชอาณาจักรเซอร์เบีย และสิ้นสุดลงด้วยการลงนามสงบศึกในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 หลังจากนั้นมีการเจรจาสันติภาพครั้งใหญ่ที่แวร์ซาย สงครามนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ภูมิรัฐศาสตร์โลกเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ในหลายด้าน
สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ โดยมีปัจจัยหลายประการสั่งสมจนเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในยุโรป ได้แก่
- เหตุจุดระเบิดสำคัญคือ การลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุกฟรันทซ์ แฟร์ดีนันท์ แห่งออสเตรีย โดย กัฟรีโล ปรินซีป (Gavrilo Princip) ชาวเซิร์บ-บอสเนียในเดือนมิถุนายน 1914
- ระบบพันธมิตรในยุโรปที่ซับซ้อนและผูกพันระหว่างจักรวรรดิต่าง ๆ แบ่งเป็นฝ่ายมหาอำนาจกลาง (เยอรมนี, ออสเตรีย-ฮังการี) กับฝ่ายสัมพันธมิตร (อังกฤษ, ฝรั่งเศส, รัสเซีย)
- การแข่งขันทางเศรษฐกิจและอาณานิคมระหว่างมหาอำนาจยุโรปซึ่งกดดันให้เกิดการแย่งชิงและความไม่ไว้วางใจ
- ชาตินิยมที่รุนแรงและลัทธิจักรวรรดินิยมที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปัญหาความเสื่อมของจักรวรรดิออตโตมันในคาบสมุทรบอลข่าน
- การแข่งอาวุธและเตรียมพร้อมสำหรับสงครามที่เพิ่มขึ้นก่อนปี 1914 และความผิดพลาดในการประเมินสถานการณ์ทางทูต
ความขัดแย้งปะทุอย่างเต็มรูปแบบในช่วงวิกฤติเดือนกรกฎาคม 1914 ซึ่งความเข้าใจผิดและการประเมินผิดพลาดของมหาอำนาจหลากหลายฝ่ายเร่งให้สงครามขยายตัวจนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
การดำเนินสงคราม (1914-1918)
สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นสงครามครั้งแรกที่มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างกว้างขวาง เช่น ปืนกล, รถถัง, เครื่องบิน และแก๊สพิษ (แก๊สคลอรีน, แก๊สมัสตาร์ด) ซึ่งสร้างความหวาดกลัวอย่างมากในสนามรบและเปลี่ยนรูปแบบการรบจากสงครามเปิดโล่งสู่สงครามสนามเพลาะ (คูที่ขุดเพื่อกำบังตัวจากข้าศึกในเวลารบ) ที่โหดร้ายและยืดเยื้อนานหลายปี สงครามสนามเพลาะนี้เกิดขึ้นเป็นแนวยาวตั้งแต่ช่องแคบอังกฤษจนถึงชายแดนสวิตเซอร์แลนด์ แนวรบนี้ถูกเรียกว่า “แนวรบด้านตะวันตก” ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของสงครามที่หยุดนิ่งและมีการต่อสู้ที่สูญเสียมาก
ยุทธการสำคัญในช่วงสงคราม ได้แก่ ยุทธการที่แม่น้ำซอมม์ในปี 1916 ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธการที่มีผู้เสียชีวิตสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยในวันเปิดฉาก 1 กรกฎาคม 1916 กองทัพอังกฤษสูญเสียทหารมากถึง 57,470 นาย ซึ่งถือเป็นวันแห่งการสูญเสียมากที่สุดในประวัติศาสตร์กองทัพบกอังกฤษ รวมทั้งสองฝ่ายมีผู้สูญเสียรวมกันประมาณ 1 ล้านคนในช่วงยุทธการนี้ นอกจากการยิงปืนใหญ่ที่หนักหน่วงแล้ว โรคภัยต่างๆ เช่น โรคเท้าเปื่อย, ไข้สนามเพลาะ และผลข้างเคียงจากแก๊สพิษก็ต่างคร่าชีวิตและทำให้ทหารพิการอีกเป็นจำนวนมาก
ในปี 1917 สหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงครามฝั่งสัมพันธมิตรหลังจากเหตุการณ์เรือบรรทุกสินค้าลำสำคัญถูกเรือดำน้ำเยอรมันโจมตี สหรัฐฯ ส่งกองกำลังและทรัพยากรขนาดใหญ่เข้ามาสนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งเปลี่ยนดุลในสงครามให้ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เปรียบมากขึ้น ส่งผลให้ในปี 1918 ฝ่ายมหาอำนาจกลางเริ่มประสบปัญหาภายใน ทั้งความเหนื่อยล้าทางเศรษฐกิจและประชาชนที่ไม่ทนต่อสงครามอีกต่อไป
สงครามยังมีแนวรบอื่นๆ กระจายอยู่ทั่วโลก เช่น แนวรบทะเลที่มีการใช้เรืออูและสงครามเรือดำน้ำ การปิดล้อมทางทะเลโดยราชนาวีอังกฤษ และการรบในภูมิภาคบอลข่านและตะวันออกกลางซึ่งส่งผลต่อภูมิรัฐศาสตร์โลก
การสูญเสียจากสงครามนี้มีจำนวนมหาศาลทั้งในด้านชีวิตทหารและพลเรือน รวมถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ทำให้ประเทศต่างๆ ต้องฟื้นตัวเป็นเวลานาน และเกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญในระบอบการปกครองและการเมืองของหลายประเทศ สงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้งยังเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการล่มสลายของจักรวรรดิออตโตมัน เยอรมนี รัสเซีย และออสเตรีย-ฮังการี ส่งผลให้เกิดรัฐชาติใหม่ขึ้นหลายแห่ง
การสิ้นสุดของสงคราม
ในช่วงสุดท้ายของสงคราม ปี 1917-1918 สหรัฐอเมริกาได้เข้าสู่สงครามด้านฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้อุปทานกำลังคนและอาวุธที่เพิ่มขึ้นมีผลเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจอย่างสำคัญ เยอรมนีและฝ่ายมหาอำนาจกลางเผชิญกับความเหนื่อยล้า ผลกระทบทางเศรษฐกิจ และความไม่พอใจจากประชาชนภายใน จนนำไปสู่การปฏิวัติและการล่มสลายของระบอบกษัตริย์ในเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี รวมถึงการถอนตัวของบัลแกเรีย ออตโตมัน ทำให้เยอรมนีต้องเผชิญสถานการณ์โดดเดี่ยวในสงคราม
สงครามสิ้นสุดลงด้วยการลงนามสงบศึกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 จากนั้นในปี 1919 มีการจัดเจรจาสันติภาพที่ปารีส มีสนธิสัญญาแวร์ซายเป็นตัวกลางในการกำหนดเงื่อนไขต่อประเทศผู้แพ้โดยเฉพาะเยอรมนี ด้วยข้อจำกัดทางทหาร การชดใช้ค่าเสียหาย และการแบ่งแยกดินแดน นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างใหญ่หลวง การล่มสลายของจักรวรรดิใหญ่ทั้งรัสเซีย เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และออตโตมัน ทำให้เกิดรัฐใหม่ เช่น โปแลนด์ ฟินแลนด์ เชโกสโลวาเกีย และยูโกสลาเวีย
สงครามโลกครั้งที่ 1 ถือเป็นบทเรียนสำคัญของมนุษยชาติที่เตือนถึงผลลัพธ์ร้ายแรงจากความขัดแย้งและความตึงเครียดระหว่างประเทศ เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองครั้งใหญ่ และเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ในเวลาต่อมา
บทบาทของประเทศไทยในสงครามโลกครั้งที่ 1
บทบาทของประเทศไทยในสงครามโลกครั้งที่ 1 มีความสำคัญและน่าสนใจอย่างยิ่ง ดังนี้
ประเทศไทย (สยามในขณะนั้น) เข้าร่วมสงครามหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริให้สยามประกาศสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง คือ เยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี ในวันที่ 22 กรกฎาคม 1917 โดยสยามมีเป้าหมายทางการทูตและการเมืองที่จะชิงความได้เปรียบและแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับชาติยุโรป
กองทัพสยามส่งกองกำลังทหารอาสาจำนวน 1,248 นายไปยังแนวหน้าตะวันตกที่ประเทศฝรั่งเศส โดยส่วนใหญ่ปฏิบัติหน้าที่หน่วยช่วยเหลือ เช่น หน่วยขนส่งยานยนต์ หน่วยแพทย์ และกองบิน ซึ่งได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวด กองทัพสยามถูกยกย่องว่ามีความสามารถสูง โดยเฉพาะในด้านการซุ่มโจมตีและมีประสิทธิภาพในการรบ แม้ว่าจะมีกำลังพลน้อยกว่าชาติอื่นก็ตาม
หลังจากสงครามสิ้นสุดลงในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 กองทัพสยามได้เข้าร่วมในกองกำลังสัมพันธมิตรที่เข้ายึดครองเมืองนอยสตัท (Neustadt an der Weinstraße) ในไรน์ลันท์ของเยอรมนี เป็นการแสดงให้เห็นถึงบทบาทที่แท้จริงของสยามในสงครามครั้งนี้ และเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นสมาชิกที่เท่าเทียมในเวทีนานาชาติ
การเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังส่งผลให้นานาชาติยอมแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคกับสยาม และช่วยเสริมสร้างสถานะของประเทศไทยในเวทีโลก ทำให้สยามได้รับการยอมรับว่าเป็นชาติที่มีเอกราชอย่างแท้จริง และส่งผลต่อการพัฒนาประเทศในยุคต่อมา
บทบาทของสยามในสงครามโลกครั้งที่ 1 ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ไทยหลีกเลี่ยงการตกเป็นอาณานิคม และเป็นแรงผลักดันที่สำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมภายในประเทศในระยะต่อมา
โดยสรุป ประเทศไทยมีบทบาทที่สำคัญแม้จะเข้าร่วมในช่วงท้ายของสงคราม ด้วยการส่งกองกำลังทหารไปช่วยรบและการร่วมในกองกำลังสัมพันธมิตรที่ยึดครองดินแดนในยุโรป รวมทั้งมีส่วนสำคัญในการยกระดับสถานะความเป็นชาติที่อิสระและเท่าเทียมในเวทีโลก
เป็นอย่างไรกันบ้าง? หวังว่าหลังอ่านบทความนี้แล้ว น้อง ๆ จะเข้าใจเหตุการณ์ “สงครามโลกครั้งที่ 1” กันมากขึ้นนะ
สำหรับใครที่กำลังมองหาที่ติวตัวต่อตัว หรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติมก็มาปรึกษาพี่ TUTOR VIP ได้นะ พี่ ๆ ยินดีให้คำปรึกษาเสมอ
บทความต่อไป TUTOR VIP จะมาแนะนำอะไรอีกนั้น ฝากติดตามกันด้วยนะ
ด้วยความร่วมมือของ TUTOR-VIP X Clearnote Thailand
บทความล่าสุด
สังคมและประวัติศาสตร์
1914-1918: ทำไมสงครามโลกครั้งที่ 1 ถึงเกิดขึ้น และจบลงอย่างไร?
สังคมและประวัติศาสตร์
จุดเริ่มต้นของ “อาเซียน (ASEAN)” : บทบาทสำคัญของภูมิภาค SEA ในเวทีโลกhistory-of-asean
สังคมและประวัติศาสตร์
สรุป ระบบเศรษฐกิจ 3 รูปแบบ เข้าใจง่ายแน่นอน!