สวัสดีจ้า เชื่อว่าน้อง ๆ น่าจะเคยได้ยินคำพูดประมาณว่า “ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว” หรือ “ทำดีตายไปได้ขึ้นสวรรค์ ทำชั่วตายไปตกนรก” กันใช่ไหมเอ่ย?
บทความนี้ พี่ TUTOR VIP จะพาไปศึกษาเรื่องราวของ “ไตรภูมิพระร่วง” วรรณกรรมไทยที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อแนวคิดและความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมของคนไทยมาจนถึงปัจจุบัน ตามไปศึกษาความน่าสนใจของ “ไตรภูมิพระร่วง” พร้อมกันในบทความเลย
ความเป็นมาของไตรภูมิพระร่วง
“ไตรภูมิกถา” หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ “ไตรภูมิพระร่วง” เป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนาที่สำคัญในสมัยสุโขทัย ทรงพระราชนิพนธ์โดย พระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลิไท) เมื่อปี พ.ศ. 1888 (บางหลักฐานระบุว่าเริ่มแต่งตั้งแต่ปี พ.ศ. 1864) มีวัตถุประสงค์เพื่อเทศนาโปรดพระมารดา และเผยแพร่หลักธรรมแก่ประชาชน ให้เข้าใจเรื่องกรรม ผลแห่งการกระทำ และดำเนินชีวิตอย่างมีศีลธรรม
วรรณกรรมเรื่องนี้รวบรวมเนื้อหาจากคัมภีร์พระพุทธศาสนาหลายฉบับ เช่น พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และปกรณ์พิเศษ นำมาร้อยเรียงเป็นภาษาไทยด้วยสำนวนที่ประณีต เป็นวรรณคดีโลกศาสตร์เล่มแรกของไทยที่มีเนื้อหาเชิงจักรวาลวิทยา ปรัชญา และจริยศาสตร์
“ไตรภูมิ” หมายถึงสามภูมิ คือ กามภูมิ, รูปภูมิ และ อรูปภูมิ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่แดนมนุษย์ เทวดา ไปจนถึงสัตว์นรก โดยมีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางจักรวาล ล้อมรอบด้วยเทือกเขาสัตตบริภัณฑ์และมหานทีสีทันดร วรรณกรรมยังกล่าวถึงความเชื่อพื้นฐานของชาวไทย เช่น การเวียนว่ายตายเกิด, นรก-สวรรค์, พระศรีอริยเมตไตรย และแก้วเจ็ดประการ
นักวิชาการบางส่วนวิเคราะห์ว่าวัตถุประสงค์ในการแต่งไตรภูมิพระร่วงนั้นไม่เพียงเพื่อเผยแพร่ธรรมะ แต่ยังมีเป้าหมายทางการเมือง ใช้แนวคิดเรื่องบาปบุญควบคุมจิตใจประชาชนในยุคที่การปกครองต้องการเสถียรภาพ
“ไตรภูมิพระร่วง” จึงเป็นมากกว่าวรรณกรรมทางศาสนา แต่เป็นเครื่องมือในการหล่อหลอมคุณธรรม สร้างความสงบสุขในสังคม และเป็นมรดกทางวรรณคดีและปัญญาของชาติไทยที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่งจนถึงปัจจุบัน
แนวคิดเรื่องไตรภูมิ
คำว่า “ไตรภูมิ” หมายถึง “สามภูมิ” ได้แก่ กามภูมิ , รูปภูมิ , และอรูปภูมิ แต่ละภูมิถูกอธิบายไว้อย่างละเอียดในไตรภูมิพระร่วง
- กามภูมิ คือ โลกของผู้ที่ยังติดอยู่ในกามกิเลส แบ่งออกเป็นสองประเภท ได้แก่
-
- อบายภูมิ คือ ดินแดนที่ปราศจากความเจริญ มีแต่ความทุกข์ทรมาน แบ่งเป็นภูมิย่อยได้ 4 ภูมิ คือ นรกภูมิ, ติรัจฉานภูมิ, เปรตภูมิ และอสูรกายภูมิ
- สุคติภูมิ แบ่งออกเป็นเจ็ดชั้น คือ มนุษย์ภูมิ, สวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกาภูมิ, สวรรค์ชั้นตาวติงสาภูมิ (ดาวดึงส์ – ไตรตรึงษ์), สวรรค์ชั้นยามาภูมิ, สวรรค์ชั้นตุสิตาภูมิ (ดุสิต), สวรรค์ชั้นนิมมานรดีภูมิ และสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ
- รูปภูมิ คือ ดินแดนของพรหมที่มีรูป (แต่เป็นรูปทิพย์ มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถมองเห็นได้ เว้นแต่ด้วยทิพยจักษุ) เป็นภูมิที่อยู่ของผู้บรรลุฌานขั้นต่าง ๆ ในพุทธศาสนา แบ่งออกเป็น 16 ชั้น โดยจัดเป็น 4 กลุ่ม ตามระดับฌานที่บรรลุ ได้แก่
- ปฐมฌานภูมิ (ชั้นที่ 1–3): พระพรหมผู้บรรลุปฐมฌาน ชั้นทั้งสามอยู่ในระดับเดียวกันแต่แยกกันตามเขต
- ทุติยฌานภูมิ (ชั้นที่ 4–6): พระพรหมผู้บรรลุทุติยฌาน ลักษณะเหมือนปฐมฌาน
- ตติยฌานภูมิ (ชั้นที่ 7–9): พระพรหมผู้บรรลุตติยฌาน แยกเป็นสามชั้นในระดับเดียวกัน
- จตุตถฌานภูมิ (ชั้นที่ 10–16): แบ่งเป็นสองส่วน ดังนี้
- ชั้นที่ 10–11: พระพรหมผู้บรรลุจตุตถฌาน อยู่ในระดับเดียวกันแต่ห่างกันมาก
- ชั้นที่ 12–16: เรียกว่า สุทธาวาสภูมิ หรือ ปัญจสุทธาวาส เป็นที่อยู่เฉพาะของ พระอนาคามี (อริยบุคคลในพุทธศาสนา) เท่านั้น พระพรหมใน 11 ชั้นแรก แม้บรรลุฌานสูงเพียงใด ก็ไม่สามารถเกิดในชั้นนี้ได้
- สุทธาวาสทั้ง 5 ชั้น ตั้งอยู่กลางอากาศเป็นลำดับชั้นขึ้นไป ไม่อยู่ในระดับเดียวกันเหมือนชั้นต้น ๆ
- อรูปภูมิ คือ ดินแดนของพรหมที่ไม่มีรูป มีแต่จิตและวิญญาณ ผู้ที่เกิดในภูมินี้มักเป็นผู้บำเพ็ญฌานขั้นสูง และเห็นว่ารูปกายเป็นทุกข์ จึงปรารถนาอยู่ในภาวะไร้รูป แบ่งออกเป็น 4 ชั้น ตามลำดับของอรูปฌาน ดังนี้
-
- อากาสานัญจายตนภูมิ – ยึดความว่างเปล่า (อากาศ) เป็นอารมณ์
- วิญญาณัญจายตนภูมิ – ยึดวิญญาณไร้ขอบเขตเป็นอารมณ์
- อากิญจัญญายตนภูมิ – ยึด “ความไม่มีอะไรเลย” เป็นอารมณ์
- เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ – สภาวะที่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่เชิง เป็นภาวะละเอียดสูงสุด
แนวคิดนี้มีอิทธิพลต่อความเชื่อในเรื่องกรรมเวร การเวียนว่ายตายเกิด รวมถึงกระตุ้นให้ผู้คนกระทำคุณงามความดี
การแบ่งโลกสวรรค์ นรก และมนุษย์
-
สวรรค์ (กามภูมิและรูปภูมิ)
สวรรค์ในไตรภูมิแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก
-
- ฉกามาพจร (6 ชั้น) อยู่ในกามภูมิ เป็นที่อยู่ของเทวดาผู้มีบุญ ยังยินดีในกามคุณ เช่น ชั้นจาตุมหาราชิกา, ดาวดึงส์, ยามา, ดุสิต, นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวัตตี
→ เต็มไปด้วยสิ่งทิพย์ ความสุขมาก ความทุกข์น้อย อายุยืน แต่ยังไม่พ้นจากวัฏสงสาร
-
- พรหมโลก (16 ชั้น) อยู่ในรูปภูมิ เป็นที่อยู่ของพระพรหมผู้ฝึกสมาธิจนได้ฌาน
→ ไม่มีความยินดีในกาม มีความสงบสุข ละเอียดกว่าสวรรค์กามภูมิ
ชั้นที่ 1–9: พระพรหมผู้ได้ปฐมฌานถึงตติยฌาน
ชั้นที่ 10–16: พระพรหมผู้ได้จตุตถฌาน โดยเฉพาะชั้นที่ 12–16 เรียกว่า สุทธาวาสภูมิ เป็นที่อยู่ของ พระอนาคามี เท่านั้น (อริยบุคคลขั้นสูงในพุทธศาสนา)
ในแต่ละชั้น ล้วนมีสภาพแวดล้อมเป็นทิพย์ งดงามเกินโลกมนุษย์ ความทุกข์น้อย อายุยืนยาว แต่เมื่อบุญสิ้นสุด ก็อาจต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก สวรรค์จึงเปรียบเสมือน “รางวัลชั่วคราว” ของผู้ที่สั่งสมความดี
-
มนุษยภูมิ (กามภูมิ)
มนุษย์อยู่ในกามภูมิ เป็นภูมิที่มีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกัน
→ เป็นภูมิเดียวที่สามารถสร้างกรรมใหม่ได้อย่างเต็มที่ ถือเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาตนเองทั้งในทางบุญและบาป
→ ชีวิตมนุษย์อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม การกระทำจะส่งผลต่อภพภูมิในอนาคต
โลกมนุษย์จึงเป็น “ทางแยก” ที่จะกำหนดทิศทางของภพภูมิถัดไป ไม่ว่าจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก
-
นรก (กามภูมิ)
นรกเป็นภูมิที่ต่ำสุดในกามภูมิ
→ เป็นที่อยู่ของผู้ทำบาปหนัก แบ่งเป็น มหานรก 8 ขุม และนรกบริวารจำนวนมาก
→ เต็มไปด้วยการลงโทษที่น่าสะพรึงกลัว เช่น ถูกแผดเผา ถูกทรมาน เพื่อเตือนให้ผู้คนเกรงกลัวบาปกรรม
→ แม้โทษจะรุนแรง แต่อยู่ได้ไม่นิรันดร์ เมื่อหมดกรรมก็จะเวียนว่ายไปเกิดใหม่ตามกรรมที่เหลืออยู่
ลักษณะของนรกมีความทุกข์ทรมานรุนแรง น่าสยดสยอง เต็มไปด้วยการลงทัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ไฟเผา มีดแทง น้ำกรดหลอมละลาย ฯลฯ ซึ่งล้วนสอดคล้องกับบาปที่ผู้ตายได้กระทำไว้
อิทธิพลของไตรภูมิพระร่วงในสังคมไทย
“ไตรภูมิพระร่วง” มิได้เป็นเพียงวรรณกรรมเชิงศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นผลงานที่ทรงอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทยในหลากหลายมิติทั้งด้านศิลปะ ประเพณี การศึกษา และจริยธรรม โดยสามารถแจกแจงอิทธิพลสำคัญได้ดังนี้
- เป็นต้นแบบของวรรณกรรมทางศาสนาในยุคต่อมา
ไตรภูมิพระร่วงนับเป็นวรรณกรรมเรื่องแรกของไทยที่บันทึกแนวคิดเรื่องโลกหลังความตายอย่างเป็นระบบ ส่งอิทธิพลต่อวรรณกรรมศาสนาอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลัง ซึ่งยึดรูปแบบการอธิบายโลก 3 ภูมิ (กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ) ตามแนวพุทธศาสนาเป็นหลัก
- สะท้อนในงานศิลปกรรมไทย
แนวคิดเรื่องสวรรค์ นรก และโลกมนุษย์จากไตรภูมิพระร่วงมีอิทธิพลอย่างเด่นชัดต่องานศิลปกรรมไทย โดยเฉพาะในงาน จิตรกรรมฝาผนัง และ ประติมากรรมในวัด เช่น ภาพวาดเปรต นรกขุมต่าง ๆ หรือฉากท้าวสักกะในสวรรค์ดาวดึงส์ ซึ่งปรากฏอยู่ในวัดสำคัญทั่วประเทศ เช่น วัดสุทัศน์ วัดพระแก้ว และวัดโพธิ์ ล้วนแสดงภาพตามความเชื่อในไตรภูมิ
- มีบทบาทในพิธีกรรมและประเพณีไทย
แนวคิดจากไตรภูมิพระร่วงยังมีอิทธิพลในเชิงพิธีกรรม เช่น การเทศน์มหาชาติ ซึ่งมุ่งสอนเรื่องกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด รวมถึง พิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศล ให้แก่ผู้ล่วงลับโดยหวังให้วิญญาณได้ไปสู่สุคติ ซึ่งสะท้อนความเชื่อเรื่องผลกรรม สวรรค์ นรก อย่างชัดเจน
- ใช้เป็นแนวทางการสอนศีลธรรมและการดำเนินชีวิต
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แนวคิดจากไตรภูมิพระร่วงยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการปลูกฝัง คุณธรรม จริยธรรม และความไม่ประมาทในชีวิต ผ่านการเรียนการสอนในโรงเรียน, วัด หรือกิจกรรมพัฒนาจิตใจ เช่น การสอนให้รู้จักหลีกเลี่ยงบาป, สะสมบุญ ด้วยความเข้าใจว่าทุกการกระทำมีผลต่อภพภูมิในอนาคต
เป็นอย่างไรกันบ้าง? หวังว่าหลังอ่านบทความนี้แล้ว น้อง ๆ จะได้รู้จักเรื่องราวของวรรณกรรม “ไตรภูมิพระร่วง” กันมากขึ้นนะ
สำหรับใครที่กำลังมองหาที่ติวตัวต่อตัว หรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติมก็มาปรึกษาพี่ TUTOR VIP ได้นะ พี่ ๆ ยินดีให้คำปรึกษาเสมอ
บทความต่อไป TUTOR VIP จะมาแนะนำอะไรอีกนั้น ฝากติดตามกันด้วยนะ
ด้วยความร่วมมือของ TUTOR-VIP X Clearnote Thailand
บทความล่าสุด
สังคมและประวัติศาสตร์
ไตรภูมิพระร่วง: วรรณกรรมไทยสามโลก สวรรค์ นรก และมนุษย์
สังคมและประวัติศาสตร์
พระราชประวัติ ในหลวง ร.9: กษัตริย์นักคิด นักพัฒนา และผู้นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
สังคมและประวัติศาสตร์
สรุปประวัติ รัชกาลที่ 5 กับที่มาของวันปิยมหาราช 23 ตุลาคม