สวัสดีน้อง ๆ ทุกคน บทความนี้ พี่ TUTOR VIP จะพาน้อง ๆ ย้อนไปในปี พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนการปกครองสู่ประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ทุกคนควรศึกษา ถ้าพร้อมแล้วตามไปศึกษาพร้อมกันในบทความเลย
สภาพสังคม-การเมืองก่อนปี พ.ศ. 2475
ก่อนปี พ.ศ. 2475 ประเทศไทยปกครองภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่พระมหากษัตริย์เป็นประมุขและมีอำนาจสูงสุดเบ็ดเสร็จในการปกครองประเทศ ระบอบนี้ทำให้พระมหากษัตริย์ถือเป็นศูนย์รวมอำนาจทุกด้าน และไม่มีการจำกัดอำนาจตามกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม ในปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) เกิดปัญหาหลายประการที่สะท้อนข้อจำกัดของระบอบนี้ โดยเฉพาะปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุนแรง เช่น ภาวะขาดดุลงบประมาณและหนี้สินจำนวนมาก สถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำเกิดขึ้นพร้อมกับความขัดแย้งในหมู่ขุนนางและผู้มีอำนาจ ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินไม่สามารถตอบสนองต่อปัญหาของประชาชนทั่วไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในด้านสังคม ปัญหาความล้าหลังก็ปรากฏชัดเจน ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมือง เพราะไม่มีสิทธิมีเสียงในการปกครองและไม่มีการเลือกตั้ง เป็นการปกครองที่มุ่งเน้นการรวมศูนย์อำนาจไว้ในมือของชนชั้นนำและราชวงศ์กลุ่มเล็ก ๆ ส่งผลให้เกิดความไม่เป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำทางสังคม ชนชั้นล่างและชนชั้นกลางข้าราชการระดับล่างได้รับผลกระทบหนักจากภาระภาษีและนโยบายที่ไม่เอื้ออำนวยต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของพวกเขา
นอกจากนี้ ความคิดเรื่องประชาธิปไตยและระบบรัฐสภาเริ่มเข้ามาผ่านการศึกษาและการติดต่อกับแนวคิดสมัยใหม่จากต่างประเทศ โดยกลุ่มข้าราชการและนักศึกษาที่ได้รับการศึกษาจากยุโรป เริ่มตระหนักถึงข้อจำกัดของระบอบเดิม และเห็นความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองให้ทันสมัยและมีการแบ่งแยกอำนาจ เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิร่วมทางการเมืองได้มากขึ้น
ความไม่พอใจที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้มาจากสภาพทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงความรู้สึกว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบที่ล้าหลัง ไม่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน และมีวัฒนธรรมการเมืองที่จำกัดการเปลี่ยนแปลงและการมีส่วนร่วมของประชาชนในประเทศ ซึ่งเป็นแรงกดดันสำคัญที่นำไปสู่ความต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในที่สุด
เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 กลุ่มบุคคลซึ่งเรียกตัวเองว่า “คณะราษฎร” ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมดประมาณ 99 คน แบ่งเป็นกลุ่มทหาร ทั้งทหารบก 32 คน, ทหารเรือ 21 คน และกลุ่มพลเรือน 46 คน ได้ร่วมกันทำการ ยึดอำนาจการปกครองจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7)
หัวหน้าคณะราษฎรในขณะนั้นคือ พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการวางแผนและนำกลุ่มเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีการต่อสู้รุนแรงหรือเสียเลือดเนื้อมากนัก เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปอย่างสันติและเรียบร้อยในทางการเมือง
เป้าหมายหลักของคณะราษฎรคือการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่พระมหากษัตริย์มีอำนาจเบ็ดเสร็จ มาเป็นระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้พระมหากษัตริย์ต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของรัฐธรรมนูญและเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น
หลังจากการยึดอำนาจ คณะราษฎรได้ประกาศ “ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1” ซึ่งระบุเหตุผลและเจตนารมณ์ของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยย้ำว่าการกระทำนี้เพื่อการสร้างความเป็นธรรมและความเท่าเทียมในสังคม และเพื่อความสุขสมบูรณ์ของประชาชน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้และเสด็จพระราชดำเนินกลับพระนครโดยไม่มีการขัดขวาง ส่งผลให้ประเทศไทยเข้าสู่ระบอบรัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการอย่างสันติ
คณะราษฎรและทีมผู้ก่อการ
คณะราษฎรไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มทหารล้วน แต่ประกอบด้วยนักปฏิรูปทั้งทหารและพลเรือนที่มีแนวคิดแบบประชาธิปไตยและต้องการปฏิรูปการปกครองให้ทันสมัยและเหมาะสมกับยุคสมัยใหม่ สมาชิกกลุ่มมีบทบาทในด้านต่าง ๆ ตั้งแต่การวางแผน กลยุทธ์ ไปจนถึงการควบคุมพื้นที่และสร้างการสนับสนุนภายในกรุงเทพฯ
สมาชิกคณะราษฎรบางส่วนที่มีบทบาทสำคัญนอกจากพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้แก่ พระยาทรงสุรเดช, พระยาฤทธิอัคเนย์ และคณะนายทหารระดับสูง รวมถึงพลเรือนที่เป็นนักปฏิวัติที่เข้าร่วมการวางแผนและบริหารหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
หลัก 6 ประการของคณะราษฎร
ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรได้ประกาศหลักการบริหารประเทศที่เรียกว่า หลัก 6 ประการ ซึ่งเป็นแนวทางและเป้าหมายในการบริหารประเทศภายหลังการเปลี่ยนแปลง โดยมีใจความสำคัญดังนี้
- หลักเอกราช
รักษาความเป็นเอกราชของประเทศในทุกด้าน ทั้งทางการเมือง การศาล และเศรษฐกิจให้มั่นคง - หลักความปลอดภัย
รักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ลดความรุนแรงและประทุษร้ายระหว่างประชาชน - หลักเศรษฐกิจ
ส่งเสริมความสุขสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจ จะพยายามหางานให้ราษฎรทำโดยเต็มความสามารถ จะร่างโครงการเศรษฐกิจ แห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก - หลักเสมอภาค
ประชาชนทุกคนจะมีสิทธิเสมอภาคกัน ไม่มีใครเหนือใคร - หลักเสรีภาพ
ให้ประชาชนมีเสรีภาพในการใช้สิทธิและความเป็นอิสระที่ไม่ขัดต่อหลัก 4 ข้อข้างต้น - หลักการศึกษา
รัฐบาลจะให้การศึกษาอย่างทั่วถึงแก่ประชาชน เพื่อพัฒนาทางความคิดและความรู้
หลัก 6 ประการนี้ถูกนำมาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติและนโยบายของรัฐบาลชุดแรกของคณะราษฎรหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และสะท้อนถึงแนวคิดประชาธิปไตยและความเป็นธรรมทางสังคมที่คณะราษฎรยึดถือ
ผลลัพธ์และความเปลี่ยนแปลงหลังปี พ.ศ. 2475
หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้ร่างและประกาศใช้ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวฉบับแรกของประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยมีสาระสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดให้อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของราษฎรทั้งหลาย ซึ่งใช้อำนาจผ่านบุคคลและคณะบุคคล ได้แก่ พระมหากษัตริย์, สภาผู้แทนราษฎร, คณะกรรมการราษฎร และศาล โดยมีการแบ่งแยกอำนาจระหว่างฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ เพื่อจำกัดอำนาจและป้องกันการรวมศูนย์อำนาจแบบเดิม และเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมทางการเมืองผ่านตัวแทน
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติธรรมนูญฉบับนี้ด้วยพระองค์เอง และมีการตั้งคณะกรรมการจัดทำรัฐธรรมนูญถาวรขึ้นในเวลาต่อมา
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้การเมืองไทยเข้าสู่ยุคใหม่ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการปกครองผ่านสภาผู้แทนราษฎร อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกยังคงมีข้อจำกัดและความขัดแย้งเกิดขึ้นมาก ทั้งการคัดค้านจากกลุ่มชนชั้นนำที่นิยมระบอบเก่าซึ่งเสียผลประโยชน์ และความขัดแย้งทางอุดมการณ์ภายในคณะราษฎรเอง ส่งผลให้ระบอบประชาธิปไตยไทยในยุคแรกยังไม่มั่นคง และในทศวรรษต่อมามีการรัฐประหารและเปลี่ยนแปลงการปกครองอีกหลายครั้ง
ความสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย
เหตุการณ์ปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคใหม่ เพราะเป็นการวางรากฐานระบอบการปกครองในรูปแบบ “ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ” ที่เปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งพระมหากษัตริย์มีอำนาจเบ็ดเสร็จ มาเป็นระบอบที่ยึดถือหลักความโปร่งใสและการจำกัดอำนาจพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่เปลี่ยนโครงสร้างการปกครองเท่านั้น แต่ยังถือเป็นการเปลี่ยนผ่านทางสังคมและวัฒนธรรมการเมืองที่ส่งเสริมให้ประชาชนมีสิทธิและเสียงในการกำหนดอนาคตของประเทศ ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ยุคของการเมืองแบบประชาธิปไตยที่เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนผ่านตัวแทนในสภาผู้แทนราษฎร
แม้ว่าระบอบประชาธิปไตยในระยะแรกจะยังเผชิญกับความท้าทายสำคัญทั้งจากการต่อต้านของกลุ่มชนชั้นนำที่เคยได้ประโยชน์จากระบอบเก่า ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ภายในคณะราษฎร รวมถึงปัญหาการเมืองที่ยังไม่เสถียร การเปลี่ยนแปลงนี้ยังเป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนถึงความพยายามสร้างประชาธิปไตยที่สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทยในยุคสมัยนั้น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาประชาธิปไตยไทยในเวลาต่อมา
เป็นอย่างไรกันบ้าง? หวังว่าหลังอ่านบทความนี้แล้ว น้อง ๆ จะเข้าใจที่มาของ “การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475” กันมากขึ้นนะ
สำหรับใครที่กำลังมองหาที่ติวตัวต่อตัว หรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติมก็มาปรึกษาพี่ TUTOR VIP ได้นะ พี่ ๆ ยินดีให้คำปรึกษาเสมอ
บทความต่อไป TUTOR VIP จะมาแนะนำอะไรอีกนั้น ฝากติดตามกันด้วยนะ
ด้วยความร่วมมือของ TUTOR-VIP X Clearnote Thailand

บทความล่าสุด
สังคมและประวัติศาสตร์
เปิดประวัติ “VOC” บริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สู่ยุคสมัยการล่าอาณานิคม
สังคมและประวัติศาสตร์
เปิดประวัติ “สุนทรภู่” ยอดกวีผู้เขียนวรรรดีไทยอมตะอย่าง “พระอภัยมณี”
สังคมและประวัติศาสตร์
สงครามเย็น : การต่อสู้ทางอุดมการณ์และการสนับสนุนพันธมิตร